นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567 ขึ้นอยู่กับภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวเท่าใด ซึ่งหากขยายตัวในอัตรา 2.8-3.2% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1.0-2.0% อัตราดอกเบี้ย MRR เฉลี่ยทั้งปีของ 6 ธนาคารใหญ่ อยู่ระหว่าง 6.8-7.0% นั้น ประเมินว่าจะก่อให้เกิดการขยายตัวของหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 373,360 หน่วย แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ เช่น บ้าน ทาวน์เฮาส์ 270,219 หน่วย ที่อยู่อาศัยอาคารชุดหรือคอนโดมิเนียม 103,141 หน่วย ส่วนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์จะอยู่ที่ 1.08 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นบ้านหรือทาวน์เฮาส์ 786,142 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 301,357 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยที่จะทำให้อัตราการซื้อบ้านชะลอตัวลง คืออัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในอัตราที่สูง และราคาบ้านที่แพง ขณะที่สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อบ้านอย่างค่อนข้างระมัดระวัง เนื่องจากกังวลกำลังผ่อนของลูกค้า ขณะที่ลูกค้าที่ต้องการบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาทในทำเลในเมืองเริ่มหายาก แต่หากมองคอนโดก็มักมองหาตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าผ่าน แต่การยื่นกู้อาจมีปัญหา เพราะธนาคารจะใช้เวลาพิจารณานาน ส่วนบ้านราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนใหญ่จะอยู่นอกเมืองไปแล้ว การยื่นกู้ใช้เวลาเช่นกัน เพราะสถาบันการเงินจะต้องพิจารณารายได้ที่เพียงพอต่อการผ่อนชำระด้วย ดังนั้นการตัดสินใจซื้อบ้านอาจจะชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ อาจใช้วิธีการเช่าไปพลางก่อน จนกว่าสถานการณ์ตลาดหุ้น ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีจะดีขึ้น จึงจะคิดกลับมาซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมอีกครั้ง
“ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567 อาจมีโอกาสขยายตัว แต่ตั้งอยู่บนปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ทำให้ต้องหวังแรงสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อสร้างให้อุปสงค์ในตลาดมีความแข็งแรง และสร้างแรงกระตุ้นต่างๆ รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นในการซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากความเชื่อมั่นในการซื้อที่อยู่อาศัยอยู่ในระดับที่ต่ำ เนื่องจากลูกค้าไม่มั่นใจว่าจะได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน”
นายวิชัย กล่าวต่อว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติจำนวน 14,449 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 73,161 ล้านบาท โดยคนสัญชาติจีนยังคงซื้อห้องชุดมากที่สุดเป็นอันดับ 1 มีจำนวน 6,614 หน่วย ขณะที่ชาวเมียนมาซื้อห้องชุดมูลค่าสูงที่สุด ราคาเฉลี่ย 6.6 ล้านบาท และชาวอังกฤษซื้อห้องชุดที่มีขนาดพื้นที่เฉลี่ยสูงที่สุด โดยซื้อที่พื้นที่เฉลี่ย 56.5 ตารางเมตร (ตร.ม.)
สำหรับสถิติต่างชาติ ที่มีการโอนกรรมการสิทธิ์มากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ 1.จีน 6,514 หน่วย 2.รัสเซีย 1,260 หน่วย 3. สหรัฐอเมริกา 631 หน่วย 4.พม่า 564 หน่วย 5.ไต้หวัน 532 หน่วยงาน ส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของต่างชาติมี 5 อันดับ ดังนี้ 1.จีน 34,132 ล้านบาท 2.รัสเซีย 4,455 ล้านบาท 3.พม่า 3,707 ล้านบาท 4.สหรัฐฯ 3,227 ล้านบาท 5.ไต้หวัน 2,908 ล้านบาท.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่