ประชุมนัดแรก เสียงแตก! กนง.มีมติ คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.50% ต่อปี ต้านแรงเสียดสังคม ลั่น! เงินเฟ้อติดลบ ไม่ได้สะท้อนความจริง เพราะระยะหน้า ราคาพลังงานอาจดีดกลับ เชื่อ ดอกเบี้ยปัจจุบัน เอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแล้ว เจาะเบื้องหลัง พบคณะกรรมการ 2 เสียง เสนอ ลดดอกเบี้ยลง 0.25% ขณะ 3 เสียง มีมติ คงดอกเบี้ย
มติ กนง.นัดแรก เกี่ยวกับ “ดอกเบี้ย” ปี 2567 กลายเป็นการประชุมที่ถูกจับตามองมากที่สุดในรอบหลายปีของประเทศไทย ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะตัดสินใจอย่างไร? ขึ้นดอกเบี้ย, คงดอกเบี้ย หรือลดดอกเบี้ย จากตัวเลขดอกเบี้ยล่าสุด ซึ่งอยู่ที่ 2.50% ต่อปี ขณะเดียวกัน ผลการประชุม กนง.ทุกนัด ก็เป็นเครื่องมือในการส่งสัญญาณบอกว่า ธปท.คิดอย่างไรกับระบบเศรษฐกิจ
ท่ามกลางข้อเรียกร้องหลายทิศทางว่า “ดอกเบี้ยสูง” กำลังทำให้เศรษฐกิจทรุด ขณะรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี บี้ กนง.ต้องลดดอกเบี้ยลง 0.25% ให้ดอกเบี้ยเหลือ 2.25% เพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อ หลังจากปัจจัยหลักอย่าง “เงินเฟ้อ” ไม่ใช่ปัญหาแล้ว จากตัวเลขติดลบติดต่อกันมาหลายเดือน อีกทั้งภาคครัวเรือน และผู้ประกอบการ SME กำลังได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยแพง แนวโน้มหนี้เสียพุ่ง! น่าห่วง
อย่างไรก็ดี มีนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์บางราย มีความเป็นห่วงว่าหาก กนง.ประกาศลดดอกเบี้ยลงในขณะนี้ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า จากส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยไทยกับสหรัฐฯ ห่างกันมากเกินไป เพราะยังไม่เห็นท่าทีว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงเร็วๆ นี้ ดอกเบี้ยต่ำอาจมีผลต่อค่าเงินบาทไทย
ที่สำคัญ ระบุ “ดอกเบี้ยไม่ใช่ยาวิเศษ รักษาเศรษฐกิจได้” พร้อมแสดงความเห็นต่าง ต่อท่าทีของรัฐบาล เนื่องด้วยแม้สองฝ่ายมีจุดมุ่งหมายเดียวกันให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโต แต่ต้องเล่นคนละบทบาท “อย่าก้าวก่ายกัน”
ล่าสุด ผลการประชุม กนง.ครั้งที่ 1 มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ต่อปี โดย 2 เสียง เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี
ทั้งนี้ ดร.ปิติ ดิษยทัต เลขานุการ กนง. แถลงผลการประชุม กนง.ว่า เป็นที่ทราบกันดี ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงจากภาคการส่งออกและการผลิต เนื่องจากอุปสงค์โลกและเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้า
รวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างกระทบการขยายตัวของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวมากกว่าที่ประเมินไว้ แต่อุปสงค์ในประเทศยังขยายตัวต่อเนื่อง และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจด้านอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ
โดยมีแนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้นเข้าสู่กรอบเป้าหมายช้ากว่าที่ประเมินไว้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจที่ขยายตัวชะลอลงในช่วงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เกิดจากแรงส่งจากภาคต่างประเทศที่น้อยลง และผลกระทบจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง แต่การบริโภคยังขยายตัวดีต่อเนื่อง
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว กรรมการส่วนใหญ่จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ ขณะที่กรรมการ 2 ท่าน เห็นว่าควรปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง ภายใต้การคาดการณ์ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2567 จะปรับลดลงอยู่ที่ 2.5-3% โดยการส่งออกและการผลิต มีแนวโน้มฟื้นตัวช้า
ส่วนประเด็นเงินเฟ้อ ดร.ปิติ ระบุว่า “อัตราเงินเฟ้อทั่วไป” ที่มีแนวโน้มปรับลดลงกว่าที่ประเมินไว้จากปัจจัยด้านอุปทาน ทั้งราคาอาหารสดและราคาพลังงาน รวมทั้งการขยายมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐนั้น ไม่ได้บ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่อ่อนแอ โดยราคาสินค้าไม่ได้ปรับลดลงเป็นวงกว้าง แต่สะท้อนปัจจัยเฉพาะในบางกลุ่มสินค้า
ทั้งนี้ หากหักผลของมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังคงเป็นบวก อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2567 มีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำใกล้เคียง 1% ก่อนที่จะทยอยเพิ่มขึ้นในปีหน้า ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงเดิม ทำให้ยังต้องติดตามความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่อาจส่งผลต่อราคาพลังงาน ผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตรจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ
ธปท.ยังชี้ว่า ดอกเบี้ยไม่ได้มีผลต่อภาวะการเงินโดยรวมมากนัก เพราะยังทรงตัว ต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนผ่านธนาคารพาณิชย์และตลาดตราสารหนี้ใกล้เคียงเดิม ส่วนภาคธุรกิจและครัวเรือนโดยรวมยังได้รับสินเชื่อใหม่ต่อเนื่อง
ขณะที่ยอดคงค้างสินเชื่อลดลงเล็กน้อยจากการชำระคืนหนี้เป็นหลัก ผู้ประกอบการในภาพรวมยังสามารถชำระหนี้ได้ตามปกติ แม้การฟื้นตัวของรายได้เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และต้นทุนวัตถุดิบอยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กในบางอุตสาหกรรมอาจเผชิญภาวะสินเชื่อที่ตึงตัวตามความระมัดระวังของสถาบันการเงิน ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 อ่อนค่าสอดคล้องกับสกุลเงินภูมิภาค ตามการคาดการณ์ทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นสำคัญ
ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน จึงเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังสอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งเอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว โดย กนง.ยังเห็นว่ายังมีความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้าจากปัจจัยวัฏจักรเศรษฐกิจและปัจจัยเชิงโครงสร้าง โดยการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้าจะพิจารณาให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย