
เกือบ 11 ล้านคน คือ ตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่ทะลักเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย เมื่อปี 2562 ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งได้กลายเป็นแรงสนับสนุนหลักของรายได้ภาคการท่องเที่ยวไทย พุ่งสู่จุดสูงสุด 1.93 ล้านล้านบาท ภายใต้นักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งหมดเกือบ 40 ล้านคน
ซึ่งหากย้อนสถิติไป จะพบได้ว่านักท่องเที่ยวชาวจีนในบ้านเราเติบโตขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
จีนลุ่มหลงในการมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ขณะที่ไทยเองก็โหยหา “ชาวจีน” เพราะนอกจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยอะ ทั้งมากับบริษัทนำเที่ยวและเดินทางมาเอง เป็นอันดับ 1 แซงหน้ากลุ่มนักท่องเที่ยวสัญชาติอื่นๆ แล้ว
นักท่องเที่ยวชาวจีนยังมีการจับจ่ายต่อทริป/ต่อคน น่าสนใจ ไม่ว่าจะควักจ่าย ซื้ออาหาร, ผลไม้แปรรูป, ค่าใช้จ่ายในกลุ่มค่าบริการสุขภาพ เช่น นวด สปา อีกทั้งนักท่องเที่ยวจีนยังนิยมซื้อกลุ่มสินค้าประเภทเครื่องสำอาง/ครีมบำรุงผิว รองลงมาเป็น กลุ่มยารักษาโรค/สมุนไพรไทย เช่น น้ำมันหม่อง รวมไปถึงกลุ่มสินค้าเครื่องแต่งกาย และกลุ่มสินค้าของที่ระลึก กลายเป็นโอกาสของแบรนด์ไทยหลากหลาย สนับสนุนรายได้ของกลุ่ม SMEs
อย่างไรก็ดี นั่นเป็นภาพที่เคยเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้า และเรายังโหยหาด้วยความฝันที่ว่า หลังโควิดจบสิ้นลง ไทยและจีนเปิดประเทศอย่างเป็นทางการแล้ว จากจุดต่ำสุด ที่มีชาวจีนเดินทางเข้ามาไม่ถึง 14,000 คน ในปี 2564 และปี 2565 มีราว 2.2 แสนคนเท่านั้น อย่างน้อยๆ ปีนี้ 2566 นักท่องเที่ยวชาวจีนอาจกลับเข้ามาท่องเที่ยวในบ้านเราในสัดส่วนที่สูงขึ้นอีกครั้ง โดยตั้งเป้ายอดตลอดทั้งปีไว้สูงสุด 5-7 ล้านคน
เจาะข้อมูลแท้จริง ณ วันที่ 12 พ.ย. ผ่านมาราวๆ 11 เดือน ภายใต้นักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เข้ามาทั้งสิ้น 23,241,338 คน ในส่วนของนักท่องเที่ยวจีนนั้น ถูกชาวมาเลเซียแซงหน้า และมียอดอยู่ที่ 2,902,462 คนเท่านั้น แม้ว่ารัฐบาลจะดึงดูดด้วยการเปิดวีซ่าฟรีให้กับชาวจีนก็ตาม แต่คลื่นจีนบุกไทย หรือคนจีนเตรียมเที่ยวล้างแค้น ไม่ได้เกิดขึ้นดั่งที่ไทยหวังไว้ว่า อาจดึงให้ชาวจีนมาเที่ยวไทยอย่างต่ำ 5 แสนคนต่อเดือนได้
แล้วอะไรคือสาเหตุที่ชาวจีนเมินไทย? ท่ามกลางการบินไทย เผยว่า หากจีนยังไม่กลับมาเที่ยวไทย อาจจำเป็นต้องลดเส้นทางบินไปกลับจีน เพื่อใช้เครื่องบินไปเปิดเส้นทาง ให้กับประเทศที่มีผู้โดยสารต้องการเข้ามามากกว่าแทน โดยปัจจัยสำคัญประเมินว่า อาจมาจากหลายเรื่อง เช่น
ขณะเดียวกัน ก็ยังมีกระแสข่าวว่า เหตุที่จีนไม่มาเที่ยวไทย อาจยังมาจาก เหตุความกลัวและผวา ว่า หากมาท่องเที่ยวในไทย อาจเกิดกับเหตุการณ์ไม่ดีต่างๆ อย่างกรณี เหตุกราดยิงกลางห้างดัง ที่ทำให้ ชาวจีน เสียชีวิต ก็มีส่วนเช่นกัน ซึ่งเป็นที่มา ที่รัฐบาลพยายามสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยอย่างเข้มข้น และใช้มาตรการ วีซ่าฟรีชั่วคราว ลดขั้นตอน การเข้าไทย เพื่อพยายามกระตุ้นให้คนจีน กลับเข้ามา
นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวจากสื่อต่างประเทศว่า กระแสข่าวลือบนโซเชียลมีเดียและภาพยนตร์ชื่อดังได้ทำลายภาพลักษณ์ไทยในสายตาชาวจีนจำนวนมาก จีนมองประเทศไทยเป็นดินแดนที่อันตราย ตั้งแต่กลุ่มผู้มีอิทธิพลและแก๊งต้มตุ๋น สแกมเมอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างๆ จากเนื้อหาในเรื่อง "No More Bets" และ "Lost in the Stars"
ที่แม้เป็นเนื้อหาที่มีการแต่งเติมขึ้น แต่ดันไปสอดคล้องกับข้อมูลที่ยูเอ็นเคยออกมาเผยว่า มีชาวจีนบางส่วนถูกหลอกมาเป็นขบวนการของแก๊งสแกมเมอร์ในประเทศรอบๆ ของไทย
อีกทั้งสำนักข่าวเอพียังเคยรายงานว่า ทางการจีนสามารถจับกุมแก๊งต้มตุ๋นในพื้นที่เอเชียได้นับพันรายเช่นกัน ทำให้ประเทศไทยถูกหมายรวมไปด้วย
ล่าสุด ททท. หรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หวังดึงพลังโซเชียลมีเดีย โดย "ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์" ผู้ว่า ททท. ถึงกับต้องอัดคลิปสร้างความมั่นใจ เชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวจีนให้มาท่องเที่ยวในประเทศไทย
โดยเนื้อหาใจความได้เน้นย้ำถึงความพร้อมในแง่มาตรการด้านความปลอดภัยและด้านสาธารณสุข สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม อาหารอร่อย และผลไม้เลิศรสตลอดปี อีกทั้งได้ดึงดาราจีนคนดัง "หลัว อวิ๋น ซี" เป็นตัวแทนโปรโมตการท่องเที่ยวไทยในตลาดจีน เมื่อครั้งที่ "หลัว อวิ๋น ซี" เดินทางมาไทยด้วย
ล่าสุด ททท. ยังเผยว่า จะกระตุ้นการขายในตลาดจีนอย่างต่อเนื่อง ด้วยการส่งเสริมภาพลักษณ์เชิงบวกผ่านการจัดกิจกรรมแฟมทริป การนำศิลปินผู้มีชื่อเสียงร่วมเดินทางและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในตลาดจีน และร่วมกับพันธมิตรในตลาดจีนในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบต่างๆ เพื่อเร่งผลักดันรายได้นักท่องเที่ยวจีนสู่เป้าหมาย
หรือว่างานนี้อาจต้องถึงมือเซลส์แมน "เศรษฐา ทวีสิน" อย่างที่สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เคยเสนอว่า อยากให้นายกฯ เศรษฐา เป็นพรีเซนเตอร์ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยด้วยตัวเอง และสร้างความเชื่อมั่นว่ามาเที่ยวไทยแล้วมีความปลอดภัย เพราะสำหรับจีนแล้ว จะเชื่อผู้นำที่เป็นเบอร์ 1 เสมอ!