
ตั้งแต่รัฐบาลไทย ฟื้นความสัมพันธ์อันดี กับประเทศซาอุดีอาระเบีย ผู้นำโลกอาหรับ ก็นำมาซึ่งโอกาสทางการค้า และ การลงทุนมากมาย ดั่งจะเห็นว่า ยอดการส่งออกของไทย ไปซาอุฯ พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้น ส.ค. 2566 มีมูลค่าการส่งออก อยู่ที่ 43,114 ล้านบาท ขยายตัว 15.9% นับเป็นความสำเร็จที่น่าจับตามอง
ขณะ ซาอุดีอาระเบียนั้น อยู่ระหว่าง วางแผนปั้นมูลค่าเศรษฐกิจของประเทศ หรือ GDP ให้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัว ภายใน 15 ปี (Saudi Vision 2030) เพื่อผลักดันให้ชาติของตนเอง กลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ติด TOP ของโลกให้ได้ โดยไม่ได้มีบทบาท แค่เป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่เท่านั้น
ซึ่งแผนการนี้เอง ทำให้ขณะนี้ ซาอุฯ กำลังปรับโครงสร้างของประเทศครั้งใหญ่ เกิดการลงทุนมากมาย ที่กำลังเป็นโอกาสในแง่การลงทุน การค้า และ การส่งออกของประเทศไทยอีกด้วย
โดยก่อนหน้านี้ หลายคน อาจเคยได้ยินชื่อโครงการ “นีอุม (Neom)” และโครงการ “เดอะไลน์ (The Line)” ของประเทศซาอุดีอาระเบียมาบ้างแล้ว แต่นี่เป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
ข้อมูลเผยแพร่ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยว่า รวมแล้ว ซาอุฯ กำลังปลุกปั้นโปรเจกต์ยักษ์ มากถึง 14 โปรเจกต์ด้วยกัน ซึ่งเป็นการพลิกเมืองใหม่จากทะเลทราย
ประกอบไปด้วย
1. นีโอม (Neom) เป็นโครงการที่มีชื่อเสียงที่สุดและใหญ่ที่สุดของซาอุฯ ครอบคลุมพื้นที่ 26,500 ตารางกิโลเมตร จะเปลี่ยนชายฝั่งทะเลแดงให้กลายเป็นเมืองแห่งอนาคต ประกอบด้วย 4 โครงการย่อย ได้แก่
2. โรชน์ (Roshn) ตั้งเป้าหมายที่จะสร้างบ้าน 400,000 หลัง การก่อสร้างมัสยิด 850 แห่ง โรงเรียน 2,400 แห่ง และการปลูกต้นไม้หนึ่งล้านต้น
3. เดอะ เรดซี (The Red Sea Project) บนพื้นที่ 28,000 ตารางกิโลเมตร เป็นที่ตั้งของหมู่เกาะที่ยังคงความงามตามธรรมชาติมากกว่า 90 เกาะ และสามารถมองเห็นพื้นที่ชายฝั่งของประเทศถูกพัฒนาเป็นรีสอร์ต ซึ่งมีทั้งโรงแรม 50 แห่ง ห้องพัก 8,000 ห้อง และที่พักอาศัย 1,000 แห่ง โครงการนี้คาดว่าจะสร้างเสร็จในปี 2573
4. ดิริยาห์ (Diriyah) อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองริยาด เป็นเมืองอิฐโคลนที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสวยงาม โดยมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนสถานที่นี้ให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่ขับเคลื่อนด้วยวัฒนธรรม และเมื่อสร้างเสร็จแล้วจะมีโรงแรม 38 แห่ง พิพิธภัณฑ์ 6 แห่ง และสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมอีก 26 แห่ง
5. สวนสาธารณะกษัตริย์ซัลมาน (King Salman Park) ตั้งอยู่ใจกลางของริยาด มีพื้นที่ 16.7 ตารางกิโลเมตร มีเป้าหมายที่จะเป็น “สวนสาธารณะในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก” โดยมีพื้นที่สีเขียวขนาด 11 ตารางกิโลเมตร และต้นไม้หนึ่งล้านต้น
6. เจดดาห์เซ็นทรัล (Jeddah Central) ครอบคลุมพื้นที่ 5.7 ล้านตารางเมตร เพื่อเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความบันเทิง เช่น โรงละครโอเปรา พิพิธภัณฑ์ สนามกีฬา และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำทะเล ท่าจอดเรือ รีสอร์ตริมชายหาด ร้านอาหาร ร้านกาแฟ แหล่งช็อปปิ้งที่หลากหลาย ที่พักอาศัย 17,000 ยูนิต และห้องพักในโรงแรม 2,700 ห้อง โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2573
7. กิดดิยา (Qiddiya Project) อยู่ทางทิศตะวันตกของริยาด บนพื้นที่ราว 367 ตารางกิโลเมตร เป็นอีกโครงการหนึ่งที่มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการท่องเที่ยวของประเทศ เพื่อเป็นศูนย์กลางความบันเทิง กีฬา และวัฒนธรรมระดับโลก สนามกีฬา คอนเสิร์ตฮอลล์ สนามแข่ง สนามกอล์ฟ รถไฟเหาะที่ยาวที่สุด สูงที่สุด และเร็วที่สุดในโลก จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งความบันเทิง กีฬา และวัฒนธรรมใหม่ของซาอุดีอาระเบีย”
8. มูรับบา (New Murabba) โครงการล่าสุดที่เปิดตัวเมื่อต้นปี 2566 เป็นตึกทรงลูกบาศก์บนใจกลางเมืองแห่งใหม่ของริยาด ชื่อว่า “มูคับ (Mukaab)” สูง 400 เมตร ถูกออกแบบมาเพื่อ “กำหนดเส้นขอบฟ้าใหม่ของริยาด” ให้เป็นย่านการค้าระดับพรีเมียม มีทั้งที่พักอาศัย 104,000 ยูนิต ห้องพักในโรงแรม 9,000 ห้อง สถานบันเทิง 80 แห่ง พื้นที่สำหรับค้าปลีก 300,000 ตารางเมตร และพื้นที่สำนักงาน 1.4 ล้านตารางเมตร
9. ซาอุดีดาวน์ทาวน์ (Saudi Downtown) เปิดตัวเมื่อปี 2565 ครอบคลุมพื้นที่กว่า 10 ล้านตารางเมตร โดยตั้งเป้าหมายเพื่อจะเปลี่ยน 12 เมือง ให้กลายเป็นสถานที่ที่มีชีวิตชีวาไว้สำหรับการพักอยู่อาศัย ทำงาน และพักผ่อน ได้แก่ อาราร์ (Arar), ดูมัต อัล จันดาล (Dumat Al Jandal), ตะบูก (Tabuk), ฮาอิล (Hail), บูเรดาห์ (Buraydah), มาดินาห์ (Madinah), อัลคอบาร์ (Al Khobar), อัลอาห์ซา (Al Ahsa), ทาอีฟ (Taif), อัลบาฮาห์ (Al Bahah), ญีซาน (Jizan) และนัจราน (Najran)
10. มาซาร์ (Masar) พื้นที่ยาว 3.6 กิโลเมตร อยู่ห่างจากมัสยิดเมกกะหรือมักกะฮ์ประมาณ 550 เมตร ซึ่งเชื่อมกับสถานีรถไฟความเร็วสูง Haramain ว่ากันว่าอาจจะเป็นแลนด์มาร์กใหม่ที่ผสมผสานระหว่างประเพณีวัฒนธรรมและความทันสมัยอย่างลงตัว โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อรองรับผู้แสวงบุญจากทั่วโลกภายในปี 2573
11. อัลอูลา (AlUla) อีกโครงการหนึ่งที่มุ่งเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนซาอุฯ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ได้รับการขนานนามว่าเป็น “รากฐานสำคัญของความทะเยอทะยานทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของราชอาณาจักร” ซึ่งถูกจัดให้เป็นเมืองมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) และเป็นแห่งแรกของซาอุฯ อีกด้วย อัลอูลาถูกพัฒนาให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตและโรงแรมอีกหลายแห่ง รวมถึงเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2578 (2035)
12. เขตการเงินของกษัตริย์อับดุลลาห์ (King Abdullah Financial District: KAFD) รู้จักในชื่อย่อว่า KAFD เป็นย่านการเงิน KAFD อาจไม่ใช่โครงการขนาดใหญ่ในเชิงเทคนิค เนื่องจากได้เริ่มต้นก่อนการประกาศแผนวิสัยทัศน์ 2030 KAFD ตั้งอยู่ย่านใจกลางเมืองริยาด ประกอบด้วยอาคารและตึกระฟ้า 61 หลัง สามารถเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟใต้ดิน โดยอาคารทั้งหมดที่อยู่ในการพัฒนาจะเชื่อมต่อกันด้วยสะพานปรับอากาศหลายชุด และมีระบบโมโนเรล 6 สถานี วิ่งรอบโครงการ
13. เมืองไม่แสวงผลกำไรของโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน (Mohammed Bin Salman Non-profit City) เพื่อเป็นศูนย์บ่มเพาะธุรกิจและสถานที่สำหรับสนับสนุนผู้นำในอนาคตของประเทศ และอาจจะกลายเป็นต้นแบบของการคมนาคมในเมืองที่มีความทันสมัยอย่างบูรณาการ เน้นออกแบบโครงสร้างภายในให้มีระบบทำความเย็นและโครงสำหรับบังแดดขนาดใหญ่โดยรอบ
14. เซเวน (SAUDI ENTERTAINMENT VENTURES: SEVEN) ตั้งอยู่ในเมืองริยาด เพื่อเป็นศูนย์รวมความบันเทิงรูปแบบใหม่ที่มีความหลากหลาย เหมาะสำหรับครอบครัวและกลุ่มคนทุกวัย ทั้งศิลปะและสันทนาการ เช่น เครื่องเล่นที่ทันสมัย โรงภาพยนตร์ โบว์ลิ่งนีออน สนามกอล์ฟ ปีนเขา สนามแข่งรถโกคาร์ต ร้านค้าปลีกแบรนด์ต่างๆ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น
ซึ่ง ซาอุฯ มีแผนนำเข้าต้นไม้จากทั่วโลกเพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวบนทะเลทราย นอกจากกลาย เป็นโอกาสในการส่งออกต้นไม้ไทย 38 พันธุ์แล้ว ยังเป็นโอกาสทางการค้าและการลงทุนของธุรกิจอื่นๆ อีกด้วย เช่น วัสดุก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ความงามและสุขภาพ โลจิสติกส์ ท่องเที่ยว เกษตร พลังงาน ยานยนต์และชิ้นส่วน ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อาหารและเครื่องดื่ม ค้าปลีก เป็นต้น
ขณะบทวิเคราะห์ของธนาคารกรุงไทย ชี้ว่า ระบบเศรษฐกิจซาอุฯ ที่กำลังปรับเปลี่ยนไปสู่แนวทางที่อิง กับตลาด มากขึ้นนั้น นับเป็นการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนขนาดกลางและเล็กหรือ SMEs เข้ามามีบทบาทมากขึ้น จากขณะนี้มีสัดส่วนเพียง 1 ใน 4
ซึ่งนี่เอง จะทำให้ SMEs ครองพื้นที่ธุรกิจได้ประมาณ 35% ของ GDP ภายในอีก 7 ปีข้างหน้า โดย ผู้ประกอบการรายย่อยของไทยจะสามารถ เชื่อมโยงธุรกิจไปสู่คู่ค้าในดินแดนตะวันออกกลาง หรือใช้เป็นฮับต่อไปยังเอเชียกลาง แอฟริกา และยุโรปตอนใต้อีกด้วย
เพราะจะทำให้สินค้าสินค้าไทยมีลู่ทางที่จะเติบโตต่อไปได้อีกมาก เนื่องจาก ไทยถือเป็น ประเทศผู้ส่งออกป้อนตลาดซาอุฯ ที่มีความสำคัญลำดับที่ 15 และถือเป็นอันดับที่ 1 เมื่อเทียบกับชาติ ASEAN-5 ด้วยกัน
สำหรับ สินค้าที่เข้าเกณฑ์ เป็นดาวรุ่งที่ ได้แก่ สินค้าในกลุ่มเกษตรและอาหาร เช่น อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผักและผลไม้ กระป๋องและแปรรูป เครื่องดื่ม สิ่งปรุงรส ไก่ และอาหารสัตว์เลี้ยง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เช่น ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เหล็ก และปูนซีเมนต์ กลุ่มเครื่องสำอาง รวมถึงกลุ่มรถยนต์ ตลอดจนอุปกรณ์และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น
ที่มา : krungthai.com ,vision2030.gov.sa ,ส.อ.ท.