
เป็นที่น่าจับตามองถึงการพบกันวันนี้ ระหว่าง นายกรัฐมนตรี และ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หลังจากนายกฯ เรียกเข้าหารือ โดยแม้ไม่ปรากฏหัวข้อการถกกันอย่างชัดเจน แต่สื่อต่างคาดหมายกันว่าจะมีการพูดคุยกันเกี่ยวกับนโยบายการเงินของไทย ที่เหมาะสมกับบริบทของเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน
หลังจากล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่ผ่านมา กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จาก 2.25% ต่อปี สู่ระดับ 2.5% ต่อปี โดยให้มีผลทันที เท่ากับทุบสถิติอัตราดอกเบี้ยที่สูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี ตั้งแต่ปี 2556
โดย กนง.ให้เหตุผลสำคัญของการขึ้นดอกเบี้ยว่า ดอกเบี้ย 2.5% นับเป็นระดับที่เหมาะสมกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ณ ขณะนี้ รวมไปถึงแนวโน้มเงินเฟ้อในช่วงปี 2567 ที่อาจเร่งตัวขึ้นอีกครั้งจากแรงกดดันเรื่องภัยแล้ง ปรากฏการณ์เอลนีโญ และ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่จะดีเดย์ 1 ก.พ. 2567
ซึ่งต้องยอมรับว่า อัตราดอกเบี้ยล่าสุดของไทย กำลังกลายเป็นที่กังวลถึงภาระของ ภาคธุรกิจ และครัวเรือนไทยอย่างมาก โดยเฉพาะ กลุ่มผู้กู้เงิน ที่มีการผ่อนชำระหนี้ผูกกับดอกเบี้ยลอยตัว เพราะดอกเบี้ยที่ขึ้นไม่หยุดเช่นนี้เท่ากับภาระผ่อนหนี้ต่อเดือนหักเข้าเงินต้นน้อยลง หรือระยะการผ่อนยืดยาวออกไปอีก โดยเฉพาะคนผ่อนบ้านที่ขณะนี้มีเพียง ธนาคารออมสิน และ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ประกาศตรึงดอกเบี้ยบ้านให้กับลูกค้าไปจนถึงสิ้นปีเท่านั้น
ทั้งนี้ การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. ในรอบนี้ยังถูกมองว่ามีความเสี่ยง เพราะเป็นไปท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพด้านการเงินผ่านทางค่าเงินบาท หลังค่าเงินบาทอ่อนค่าสุดในภูมิภาคเอเชีย โดยตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมจนถึงวันนี้อ่อนค่าไปแล้วกว่า 6% พร้อมๆ กับคำถามแนวโน้ม “ดอกเบี้ยไทย” จะไปสิ้นสุดที่เท่าไร?
อย่างไรก็ดี ผู้ว่าฯ ธปท. ยืนยันอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2.5% ของไทย ณ ปัจจุบัน ถือว่าต่ำสุดในภูมิภาค โดยมาเลเซียอยู่ที่ 3% เกาหลีใต้ 3.5% อินโดนีเซีย 5.75% และ ฟิลิปปินส์ อยู่ที่ 6.25%
เจาะมุมมอง อดีตคณะกรรมการ ธปท. “ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ” ระบุ ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นดอกเบี้ยของ กนง.ล่าสุด และย้ำ ไทยยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ Terminal Rate มากขนาดนี้ โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ใช่เศรษฐกิจที่จะมีเสถียรภาพมากขึ้น หากแต่เป็นผลกำไรที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ แต่เป็นกำไรบนต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นของภาคธุรกิจ ภาคครัวเรือน
ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า พลวัตของสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้การดำเนินนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังต้องสอดประสานกันเพื่อรับมือความท้าทายต่างๆ ในระยะสั้น และสามารถแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างระยะยาวได้ในขณะเดียวกัน การดำเนินนโยบายการเงินต้องมีความสมดุลมากขึ้น
โดยชี้ว่า การเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของแบงก์ชาติสู่ Terminal Rate นั้นไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด อีกทั้งมาตรการการเงิน และนโยบายดอกเบี้ยจำเป็นต้องคำนึงถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำ และปัญหาวิกฤติหนี้ครัวเรือนในระบบเศรษฐกิจไทยด้วย ภาระทางการเงิน และต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนเป็นเรื่องที่น่าห่วงใย
ขณะที่ สถาบันการเงินโดยเฉพาะที่มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่จะมีผลกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาส 4 ปีนี้ จากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ ธปท.ล่าสุด
ย้อนไปปี 2565 ที่ดอกเบี้ยไทยเริ่มเร่งตัวจากนโยบายการเงินของ กนง. ทำให้ผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจธนาคารต่างๆ มีผลกำไรสุทธิเติบโตอย่างโดดเด่น สำรวจพบธนาคารพาณิชย์ทั้ง 10 แห่งหลักๆ ได้แก่ KTB, TTB, CIMBT, KKP, LHFG, BBL, TISCO, SCB, KBANK และ BAY มีกำไรสุทธิรวมกันมากกว่า 2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.69% จากปี 2564 ซึ่งส่วนใหญ่มีรายได้กำไรเพิ่มขึ้นจาก “ดอกเบี้ย” ที่เพิ่มขึ้น และมีการตั้งสำรองลดลง
อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยไทยยังต้องติดตามทิศทางนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ด้วย เพราะ Fed นับเป็นศูนย์กลางที่มีผลต่อนโยบายเศรษฐกิจ และการเงินของประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยปัจจุบันดอกเบี้ยสหรัฐฯ มาอยู่ที่ระดับ 5.25-5.50% แล้ว พร้อมๆ กับกระแสข่าวผวาว่ามีความเป็นได้ที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯ อาจเข้าใกล้ตัวเลข 7%+
เนื่องจาก Fed ยังส่งสัญญาณใช้ “ดอกเบี้ยสหรัฐฯ” แบบคงในระดับสูง เพราะ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง และน่าจะยังคงขยายตัวไปได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะความร้อนแรงในตลาดแรงงาน เพื่อเป้าหมายดึงให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% ให้ได้เร็วที่สุด.