
ส.อ.ท.ห่วงเอสเอ็มอีไทยโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับภาคส่งออก เริ่มออกอาการขาดสภาพคล่อง หลังยอดขายไม่เป็นไปตามแผน เหตุเศรษฐกิจโลกชะลอฉุดส่งออก ติดลบ ทั้งยังเจอกำลังซื้อในประเทศลดต่ำ
นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.มีความกังวล ถึงความอยู่รอดของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ที่กำลังประสบปัญหาสภาพคล่องมากขึ้น หลังจากต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตและต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นต่อเนื่อง แต่รายได้กลับสวนทางลดต่ำลง เนื่องจากกำลังซื้อทั้งภายในประเทศและต่างประเทศปีนี้ ภาพรวมต่างชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ดังนั้นรัฐบาลใหม่ จะต้องหามาตรการมาช่วยเหลือให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อพยุงเศรษฐกิจเร่งด่วน
“เอสเอ็มอีที่ผ่านมาก็เผชิญกับโรคโควิด-19 เมื่อโควิด-19 คลี่คลาย ก็ต้องมารับมือกับต้นทุนต่างๆที่สูงทั้งวัตถุดิบและราคาพลังงานจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และเมื่อสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายในปีนี้ก็ต้องเผชิญกับเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะชะลอตัวทำให้เศรษฐกิจไทยก็เติบโตได้ไม่ดีนัก ประกอบกับเศรษฐกิจไทยเผชิญกับภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่สูงกระทบต่อแรงซื้อที่ลดต่ำ การชำระหนี้ของเอสเอ็มอีจึงเป็นปัญหาจากยอดขายที่ไม่ดีนัก และเมื่อจะต้องกู้เงินใหม่ การทำแผนธุรกิจที่จะต้องเสนอแผนการชำระหนี้ ซึ่งก็คือรายได้จากการขายหรือส่งออกท่ามกลางตลาด ที่ถดถอยจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่สถาบันการเงินจะปล่อยกู้เพิ่ม”
ล่าสุด ในปัจจุบันภาคการผลิตและส่งออกของไทยถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยคิดเป็นสัดส่วน 70% ของอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และธุรกิจส่วนใหญ่มีเอสเอ็มอีอยู่ในห่วงโซ่การผลิตจำนวนมากที่ต้องยอมรับว่าภาคส่งออกของไทยครึ่งปีแรกของปีนี้หดตัว 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และแม้แต่การค้าชายแดน ก็ปรับตัวลดลงจึงกระทบต่อเอสเอ็มอีในภาพรวมที่บางส่วนต้องปรับลดกำลังการผลิตลงตามคำสั่งซื้อที่ลดต่ำ และหากปัญหานี้ยังคงมีมากขึ้นอาจต้องปิดตัวลงซึ่ง ส.อ.ท.กำลังเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด
สำหรับเอสเอ็มอี ที่อยู่ในภาคท่องเที่ยวและบริการถือเป็นโอกาสที่ดีเมื่อท่องเที่ยวไทย เริ่มทยอยฟื้นตัวจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น แต่เอสเอ็มอีในภาพรวมต่างก็ประสบกับ ภาวะต้นทุนที่สูงขึ้นโดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้นโดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี เป็น 2.25% จากเดิม 2.00% ต่อปีซึ่งถือเป็นอัตราที่สูง แต่ กนง.ก็ส่งสัญญาณว่าอาจจะไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยต่อ จึงเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับผู้ประกอบการทุกระดับในระยะต่อไป
“ต้นทุนต่างๆที่เพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการ ก็คาดหวังว่าจะดีขึ้น ทั้งต้นทุนทางการเงินที่ดอกเบี้ยอาจจะชะลอการปรับเพิ่มขึ้นอีก ขณะเดียวกันในส่วนของค่าไฟฟ้างวด ก.ย.-ธ.ค.ที่ปรับลดลงมาเล็กน้อยก็ทำให้ต้นทุนรวมมีทิศทางที่ดีขึ้นแต่ปัจจัยเสี่ยงหลักๆก็ยังคงมีสูงโดยเฉพาะแรงซื้อทั้งในและนอกประเทศที่ชะลอตัว ขณะเดียวกันสิ่งที่กังวลคือสินค้าจีนก็เริ่มทะลักเข้ามาตีตลาดไทยมากขึ้นและเป็นสินค้าราคาต่ำ ทำให้เห็นว่ารัฐต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้”
ด้านนางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ เอสเอ็มอี ดี แบงก์ เปิดเผยว่า ธนาคารได้ออกสินเชื่อใหม่ “Micro OK” วงเงินรวม 500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มโอกาสผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รายย่อยเข้าถึงแหล่งทุนโดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน สามารถใช้บริการผ่านระบบออนไลน์ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งลงทุนขยาย ปรับปรุง ปรับเปลี่ยนรูปแบบกิจการ หรือหมุนเวียนเสริมสภาพคล่อง ช่วยต่อยอดยกระดับธุรกิจเดินหน้าไม่มีสะดุด
สำหรับจุดเด่นสินเชื่อ “Micro OK” เปิดกว้างให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่มรายย่อย (Micro) มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีที่มีศักยภาพทุกกลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นภาคผลิต ภาคค้าปลีกค้าส่ง และภาคบริการ ทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล วงเงินกู้สูงสุด 500,000 บาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.29% ต่อเดือน (MLR+8% ต่อปี) ระยะเวลาผ่อนชำระนานสูงสุด 5 ปี ที่สำคัญไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน เปิดรับคำขอกู้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 ธ.ค.2566 หรือเมื่อเต็มวงเงินโครงการ.