
ก่อนหน้าที่ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ จะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เขาคือแพทย์อายุรกรรมโรคหัวใจเบอร์ใหญ่ประจำโรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการผ่าตัดสวนหัวใจเพื่อขยายหลอดเลือด ในสมัยที่แพทย์ด้านนี้ยังมีจำนวนไม่มากนัก
เป็นหมอมากความสามารถมายาวนานกว่า 30 ปี นพ.สรณมีคนไข้มากมาย ตั้งแต่คนเดินดินธรรมดาไปจนถึงผู้ป่วยไฮโปรไฟล์ ทั้งเจ้าสัว เศรษฐินี ข้าราชการระดับสูง และนายทหารยศใหญ่ ซึ่งว่ากันว่าน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางสู่ดาวดวงใหม่ ในฐานะประธาน กสทช.ของเขา
ตลอด 1 ปี 4 เดือนในฐานะประธาน กสทช. นพ.สรณเป็นที่จดจำ หลังใช้สิทธิลงคะแนนโหวต 2 ครั้งเพื่อปล่อยผ่านการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค ซึ่งถูกเครือข่ายผู้บริโภคโจมตีรุนแรงว่าก่อให้เกิดการผูกขาดส่งผลให้ราคาค่าบริการมือถือมีแนวโน้มสูงขึ้น
นอกจากถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักแล้ว การควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทคยังเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดต่างอย่างสุดขั้วระหว่างบอร์ด กสทช.ชุดนี้ ซึ่งจากนั้นมีอีกหลายกรณีความตามมา ความขัดแย้งส่งผลให้บอร์ดไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายอันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะได้มากนัก โดยเฉพาะการอ้างข้อบังคับทางกฎหมายที่แตกต่าง คนละบริบทและรูปแบบ เพื่อเอาชนะคะคานกัน อันเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้งานไม่เดินหน้า
....สายวันหนึ่งของเดือน ส.ค. 2566 “ทีมข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ได้โอกาสเข้าพูดคุยถึงหน้าที่ บทบาทและความยากลำบากของ นพ.สรณ ในฐานะประธาน กสทช.ผู้ยอมรับว่า ปัญหาคาใจระหว่างบอร์ดทั้ง 7 คน ทำให้การขับเคลื่อนนโยบายสำคัญทำได้เพียงแค่ครึ่งเดียว....
นโยบายสำคัญที่พอนำมาเป็นผลงานของบอร์ดได้ เริ่มต้น จากการปลดล็อกให้การควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค เดินหน้าต่อไปได้ ความต้องการควบรวมกิจการเป็นเรื่องความอยู่รอดของเอกชน กรณีทรูและดีแทคให้เหตุผลว่า รวมกันแล้วจะทำให้แข่งขันได้แข็งแรงขึ้น เมื่อกางกฎหมายดู พบว่าบอร์ด กสทช.ไม่มีอำนาจในการอนุญาตหรือไม่อนุญาต เพราะการควบรวมกันเป็นกิจกรรมของเอกชนในตลาดเสรี
เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดเอง มีการส่งคำถามไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้ตีความว่าจะพิจารณากรณีทรูควบรวมดีแทคโดยใช้ประกาศฉบับใด ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นกลับมาว่าให้ใช้ประกาศปี 2561 ซึ่งเป็นฉบับล่าสุด กำหนดขอบเขตอำนาจ กสทช.ทำได้เพียงรับทราบและกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
เมื่อมีการนำเรื่องเข้าบอร์ด ขณะนั้นมีกรรมการทั้งสิ้น 5 คน มี 1 คนที่งดออกเสียง ทำให้เสียงเท่ากัน 2 : 2 ผมตัดสินใจใช้สิทธิตามกฎหมายในฐานะประธาน กสทช. ลงคะแนนเพิ่มอีก 1 เสียง รวมเป็น 2 เสียง เพื่อให้สามารถจบเรื่องนี้ให้ได้ “ผมไม่ได้มองว่าเป็นการใช้อำนาจ ผมมองว่าเป็นหน้าที่ มองว่าบอร์ดต้องตัดสินใจ ผมต้องกล้าวินิจฉัยชี้ขาด นี่คือหน้าที่ของประธาน ซึ่งต้องยึดหลักกฎหมาย เราใช้เวลากับเคสนี้มานานแล้ว ตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาผลกระทบครอบคลุมทุกด้าน ถึงเวลาก็ต้องตัดสินใจ”
วันที่ 20 ต.ค. 2565 หลังประชุมนานกว่า 11 ชั่วโมง ที่ประชุมมีมติเสียงข้างมากรับทราบการรวมธุรกิจระหว่างทรูและดีแทค โดยให้กำหนดเงื่อนไขและมาตรการเฉพาะเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคและการพัฒนากิจการโทรคมนาคม ส่วนเสียงข้างน้อยขอสงวนความเห็นไม่อนุญาตการรวมธุรกิจ
แม้จะมีมติรับทราบ แต่บอร์ดได้กำหนดมาตรการเฉพาะเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและกิจการโทรคมนาคมที่อาจได้รับผลกระทบ เรากำหนดให้ทรูและดีแทคต้องลดราคาลง แยกกันทำตลาด ไม่ให้รวมแบรนด์ ไม่ให้รวมคลื่นและต้องสนับสนุนการเติบโตของผู้ประกอบการรายย่อยอย่าง MVNO (Mobile Virtual Network Operator)
“หลังควบรวมกิจการ ราคาค่าบริการของทั้ง 2 ค่ายลดลง สำนักงาน กสทช.กำลังวิเคราะห์ตัวเลขอยู่ว่าลดลงเท่าไร ส่วนการสนับสนุนการเติบโตของ MVNO นั้นเป็นเรื่องที่ต้องติดตามให้เห็นผลเป็นรูปธรรมต่อไป”
นอกจากนั้น บอร์ดชุดนี้ยังสามารถเดินหน้าประมูลชุดความถี่ดาวเทียมครั้งแรกของประเทศได้สำเร็จ จากที่เคยเลื่อนไป 2—3 ครั้ง การประมูลสำเร็จช่วยให้มีการนำคลื่นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ มิเช่นนั้นจะต้องคืนคลื่นกลับไปให้สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) เพื่อนำไปจัดสรรให้ประเทศอื่นที่ต้องการใช้งานต่อไป
บอร์ดชุดนี้ยังเห็นชอบการใช้งานแบบไม่ต้องขอใบอนุญาต (Unlicensed) ความถี่ย่าน WiFi 6E ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยขยายคลื่นความถี่ เพิ่มปริมาณแบนด์วิธ รับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงขึ้น ความหน่วงต่ำ รองรับการใช้งานในอนาคต ซึ่งขณะนี้คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีนำไปใช้ในการสอนผ่าศพ ตลอดจนการดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิต
“อย่างไรก็ตามผมยอมรับว่า ความขัดแย้ง ทำงานไม่ลงรอยกันระหว่าง บอร์ด ทำให้งานขับเคลื่อนนโยบายภายใต้บอร์ดชุดนี้ ทำได้เพียง 50% เท่านั้น”
จะพยายามพูดคุยกันมากขึ้น กำลังหาวิธี อุปสรรคใหญ่ขณะนี้คือความขัดแย้ง ยังไม่สามารถพูดคุยกันได้อย่างเปิดใจ ต่างมีความหวาดระแวง เกรงว่าอีกฝ่ายจะมี agenda พอบอร์ดขัดแย้งกันมากเข้า คนรอบข้างก็พลอยมีอารมณ์ไปด้วย
“ผมยังเชื่อว่าเราจะหาทางปรับจูนกันได้ มองว่าสักวันหนึ่งคงต้องเจอจุดสมดุล ผมเคยพูดว่าการทำงานในบอร์ด ไม่ควรเห็นพ้องต้องกันทั้งหมด ไม่เช่นนั้นจะไม่เกิดการตรวจสอบ ท้วงติงซึ่งกันและกัน ความเห็นต่างคือความงดงาม แต่ไม่ใช่ขัดแย้งกันเสียทุกเรื่องจนทำงานไม่ได้”
เมื่อก่อนตอนยังไม่เข้ารับตำแหน่ง เราพบปะ รับประทานอาหารกันเป็นประจำ แต่พอเข้าทำงานและมีความเห็นแตกต่างกรณีทรูควบรวมดีแทค ซึ่งคิดว่าเป็นจุดเริ่มต้น บอร์ดก็ไม่เคยนั่งคุยกัน ทานข้าวกันพร้อมหน้าอีกเลย เจอกันเฉพาะตอนเข้าประชุม ซึ่งกลายเป็นการเผชิญหน้าไม่ใช่การหารือ
ความบาดหมางซึ่งเริ่มจากความคิดต่างกรณีทรูและดีแทค ยังขยายรอยร้าวเพิ่มขึ้น จากเหตุการณ์ที่บอร์ดอนุมัติงบตั้งต้นจำนวน 600 ล้านบาทจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุน กทปส.) เพื่อนำไปสนับสนุนการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 เมื่อมีผู้ชมจำนวนไม่น้อย ต้องเผชิญกับปัญหาจอดำรับชมไม่ได้ เนื่องจากมีการอ้างกฎหมายลิขสิทธิ์ระงับการถ่ายทอดสดบนบางแพลตฟอร์มออนไลน์ นำไปสู่การตั้งข้อสังเกตว่ามีความพยายามจะเอื้อประโยชน์ให้เอกชนบางราย มีการตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวและคณะอนุกรรมการให้ความเห็นว่ารักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. อาจกระทำผิด
ต่อกรณีนี้ ผมเห็นว่าบอร์ดควรใช้อำนาจภายใต้กฎหมายและให้ความเป็นธรรม ไม่ใช่มีมติให้พ้นจากตำแหน่งทันทีควรตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนเรื่องนี้อีกครั้ง ก่อนที่จะชี้ชัด เพราะอนุกรรมการสอบข้อเท็จจริงให้ความเห็นว่า “อาจกระทำผิด” ไม่ได้ชี้ชัด ซึ่งตรงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งความขัดแย้งที่สะสมระหว่างบอร์ด
จนกรณีล่าสุด การแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ที่ว่างเว้นมานานเกือบ 3 ปี คราวนี้ผมถูกกล่าวหาว่ารวบอำนาจ ผมยืนยันว่าการคัดเลือกและแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. เป็นอำนาจของประธานภายใต้ความเห็นชอบจากกรรมการ เป็นไปตามกฎหมายมาตรา 60 และ 61 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553
เรื่องนี้ได้มีการตีความและยืนยันจากคณะอนุกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของสำนักงาน กสทช. ที่มี ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รวมทั้งศาสตราจารย์พิเศษจรัญ ภักดีธนากุล นั่งเป็นกรรมการอยู่ด้วย
ล่าสุดมีผู้เข้ามาแสดงวิสัยทัศน์ 9 คน บอร์ดทั้งหมดได้ร่วมกันรับฟัง ผมกำลังอยู่ระหว่างการตัดสินใจ มีหลายคนท่าดีมาก ซึ่งเมื่อส่งชื่อเข้าบอร์ด บอร์ดสามารถใช้สิทธิเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบได้ แต่ผมถูกมองว่ารวบอำนาจและสร้างความขัดแย้ง
สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากการตีความกฎหมายที่ไม่ตรงกัน บางครั้งใช้กฎหมายคนละฉบับ หลายเรื่องฝ่ายกฎหมายของสำนักงาน กสทช.ไม่สามารถหาข้อยุติและชี้ชัดอีกต่อไป ต้องส่งไปให้คนกลางอย่างคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ ทำให้กระบวนการตัดสินใจล่าช้าไปมาก
ขอตอบว่าเป็นงานที่ไม่คุ้นชินดีกว่า แต่ที่ทำให้ยากเพราะเป็นงานที่ผมไม่สามารถชักจูงใจหรือทำให้คนเห็นพ้องกับผมได้โดยง่าย ตอนเป็นหมอทุกอย่างดูง่าย โดยเฉพาะการพูดชักจูงใจคนให้เชื่อมั่นในตัวเรา
“ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนคนหมดแต้มบุญ ไม่มีแต้มบุญพอที่จะทำให้กรรมการท่านอื่นเห็นด้วยกับผม หลายครั้งผมรู้สึกถูกบูลลี่ (Bully-ข่มเหง รังแก) อยากให้หยุดและให้ความเป็นธรรมกับผมด้วย”
นอกจากหาจุดสมดุลในการทำงานร่วมกันกับบอร์ดท่านอื่น ผมมองว่าบอร์ด กสทช.สามารถทำประโยชน์ให้เกิดแก่สาธารณชนได้มาก ยกตัวอย่างเช่น การนำโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมไปพัฒนาให้เกิดบริการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน การจัดสรรคลื่นความถี่เพิ่มเติม การบริหารจัดการการเงินของสำนักงาน กสทช. ซึ่งขณะนี้กำลังเผชิญหน้ากับปัญหารายได้ลดต่ำลงเรื่อยๆ ล่าสุดลดลงราว 10%
เรายังมองถึงการกำกับดูแลบริการ OTT (Over the Top) โดยเฉพาะบริการแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิง ซึ่งยังไม่มีการกำกับดูแลด้านเนื้อหา น่าจะต้องมีการผลักดันกฎหมายใหม่ขึ้นมา ซึ่งคงต้องรอรัฐบาลใหม่ แต่ต้องกำกับดูแลไม่ให้ไปลิดรอนสิทธิประชาชน
ตรงนี้ ดร.พิรงรอง รามสูต บอร์ดด้านกิจการ โทรทัศน์ตั้งใจผลักดันเต็มที่ โดยเฉพาะต่อประเด็นสนับสนุนคอนเทนต์จากประเทศไทย สร้างให้เกิดเป็น Soft Power ซึ่งผมเห็นด้วยมาก......
ทีมเศรษฐกิจ