วันโหวตนายกรัฐมนตรี กับ ชื่อ "เศรษฐา ทวีสิน" มาแรงแซงทางโค้ง การเมืองไทย ที่ชวนติดตามแบบห้ามกะพริบตา เพราะแม้วันนี้ ประธานรัฐสภา สั่งให้เลื่อนวาระการโหวตเลือกนายกฯ รอบที่ 3 ออกไปก่อน เพื่อรอให้ ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาคำร้อง ปมการชงชื่อ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" ญัตติซ้ำ ว่า ขัด หรือ แย้ง ต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่?
ทั้งนี้ หลังจากพรรคเพื่อไทย สลายขั้ว 8 พรรคร่วมรัฐบาล สลัดพรรคก้าวไกลทิ้ง เพื่อเดินหน้าเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเอง และประกาศชัดเจนแล้วว่า วันโหวตนายกรัฐมนตรี เพื่อไทยจะเสนอ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ลำดับที่ 2 อย่าง "เศรษฐา ทวีสิน" ให้เหล่า สส. และ สว.โหวต เป็นนายกฯ
แต่ไม่ทันเปิดสภาอย่างเป็นทางการ ดูเหมือนดาวรุ่งการเมืองไทย ที่อดีตถูกขนานนาม ว่าเป็น "เจ้าพ่ออสังหาฯ" เป็น "นักพัฒนาที่ดินตัวพ่อ" เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารสูงสุดและกรรมการของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กำลังถูกคุมกำเนิด ด้วยกระแสร้อนทางสังคม ปมที่ดินแสนสิริ ที่ถูกเปิดออกมาโดย "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" อย่างดุดัน
ชูวิทย์ แฉปมที่ดินแสนสิริ สกัดเศรษฐา
เจาะภายใต้คำกล่าวว่า "แฉเพื่อชาติ" ของชูวิทย์ ที่เล่นงาน เศรษฐา ด้วยหมัดหนัก ว่าด้วย การซื้อขายที่ดินของแสนสิริ ที่อาจมีการหลีกเลี่ยงภาษีนับ 500 ล้านซ่อนอยู่ จากการซื้อที่ดิน 1 แปลง ย่านสารสิน แต่พบพิรุธ รับโอนฯ 12 วัน 12 คน แทนการจ่ายภาษีรูปแบบ ห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ต้องจดทะเบียน
อย่างไรก็ตาม แสนสิริ ออกแถลงการณ์ทันที โดยชี้แจงว่า บริษัท ซื้อที่ดินดังกล่าว อย่างถูกต้องตามหลักกฎหมายและธรรมาภิบาล อีกทั้งไม่ได้มีส่วนร่วมในการหลีกเลี่ยงภาษีในการซื้อขายที่ดินของแสนสิริ เป็นเหตุให้รัฐต้องสูญเสียรายได้เป็นเงินหลายร้อยล้านบาทตามที่ "ชูวิทย์" กล่าวอ้าง
พร้อมระบุ เศรษฐา ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุด และกรรมการของแสนสิริในขณะนั้น ได้ปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลรักษาผลประโยชน์ของบริษัทครบถ้วนแล้ว ในการเซ็นอนุมัติภายหลังกระบวนการเสร็จสิ้นแล้วเท่านั้น พร้อมยืนยัน การซื้อที่ดินของแสนสิริ เป็นการซื้อขายที่ดินตามปกติในธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป!!
ว่าไป...นี่อาจเป็นเกมรับน้องที่แสบแขน-แสบขา พอตัว สำหรับคนที่จะขึ้นมานั่งเก้าอี้ เป็น "นายกรัฐมนตรี" คนที่ 30 ของประเทศไทย ซึ่งคงต้องพร้อมให้สังคมตรวจสอบทุกแง่
เศรษฐา แคนดิเดตนายกเพื่อไทย กับ แนวคิดเศรษฐกิจที่เคยให้ไว้
อย่างไรก็ดี ภายใต้กระแสสังคมร้อน และ เกิดแรงต้าน การมาของพรรคเพื่อไทย และ "เศรษฐา ทวีสิน" ก็มีอะไรให้ชวนติดตามไม่น้อย โดยเฉพาะ ภูมิหลังของเจ้าพ่ออสังหาฯ คนนี้ ในแง่ แนวคิดการทำธุรกิจ และแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจ ที่เปิดออกมาบ่อยๆ ตั้งแต่ยังไม่เข้าสู่ สนามการเมืองไทย อย่างเต็มตัว ซึ่งส่วนใหญ่ มักเป็นการเปิดมุมมองเกี่ยวกับ แนวทาง "ทำอย่างไรให้ประเทศไทยฟื้นตัวเร็ว"
โอกาสนี้ #ThairathMoney ชวนสแกนแนวคิดเศรษฐกิจของ "เศรษฐา ทวีสิน" ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของเมืองไทย? ในมุมต่างๆ ดังนี้
เร่งหาเงินลงทุน เช่น เก็บภาษีคนรวย เตรียมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
"เศรษฐา" เคยชี้ว่า เพราะแผนลงทุนโครงสร้างขนาดใหญ่ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการจัดซื้อจัดจ้างและการจ้างงานปริมาณมหาศาลตามมาที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐต้องหาเงินมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ SME และธุรกิจท่องเที่ยว
ผ่านการกู้เพิ่มและเก็บภาษีมรดกคนรวย ยกตัวอย่างที่ยุโรป สหรัฐอเมริกาออกแผนงานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเรียบร้อยแล้ว โดย ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน
เปิดตัวแผนลงทุนในโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของสหรัฐฯ มูลค่ารวม 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่างบที่ใช้ช่วงวิกฤติเมื่อสิบกว่าปีก่อนถึง 4 เท่า
ขณะที่ทางรัฐสภายุโรปก็เพิ่งอนุมัติงบประมาณ 3 หมื่นล้านยูโร ในการสนับสนุนโครงการด้านการขนส่งดิจิทัล และพลังงานจนถึงปี 2570
"เศรษฐา" ยังย้ำเมื่อครั้งไทยเกิดโควิดช่วงปี 2564 ว่ารัฐบาลควรต้องขอขยายสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 60% เช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศที่มีการปรับอัตราสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงขึ้นแล้ว
ควรมีการปรับโครงสร้างการเก็บภาษี
โดยให้เหตุผลว่า เป็นแหล่งรายได้ของรัฐ ที่จะถูกนำมา ใช้ในการชำระหนี้และดำเนินการบริหารโครงการต่างๆ ของประเทศซึ่งสอดคล้องกับการเสนอแนะให้ปรับภาษีความมั่งคั่ง ที่ควรมีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มจากผู้ที่มั่งคั่งกว่าในรูปแบบต่างๆ ให้เกิดภาวะการเงินที่สมดุลของประเทศ
การพยุงราคาสินค้าและประกันราคาสินค้าเกษตร
เช่น ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง และอ้อย รัฐบาลต้องช่วยรับภาระในการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรกลับไปสร้างผลิตผลทางการเกษตร แทนที่จะรอเงินช่วยเหลืออย่างเดียวและประชาชนจะได้พอเลี้ยงตัวผ่านวิกฤติในครั้งนี้ไปได้
มีมาตรการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ
เพราะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนนี้ไทยเริ่มโดนสิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซียทิ้งห่างไปเยอะ มาตรการดึงดูดการลงทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษีหรือสิทธิประโยชน์ที่ต้องตอบโจทย์บริษัทที่จะเข้ามาลงทุนก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลต้องรีบจัดการและประชาสัมพันธ์ให้ชัดเจน
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาสู่ระบบการเมืองในสายตาประชาชน ไม่ว่าจะมีการปรับแก้ไขรายมาตราหรือจะแก้ทั้งฉบับก็ต้องหาทางออกให้ได้ เพราะเศรษฐกิจและการเมืองแยกกันไม่ขาด ถ้าเศรษฐกิจเริ่มกลับมาแต่องค์ประกอบทางการเมืองยังเป็นชนวนของความขัดแย้งอยู่ ประชาชนก็จะไม่มีความมั่นใจ และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจก็จะชะลอไปด้วย
ทั้งนี้ นโยบายที่น่าจับตาอีกอย่าง คือ การที่ เศรษฐา ประกาศว่า ถึงเวลาแล้ว ที่ประเทศไทย จะเป็นตัวเลือกที่ 3 นอกเหนือจาก สิงคโปร์ และ ฮ่องกง ในการเป็น Business Hab ของเอเชีย ด้วยศักยภาพของคนไทย และองค์ประกอบทั้งหมดที่ประเทศไทยมี
ขณะเดียวกัน ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และการแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรไทย ยังเป็นอีกหมุดหมายที่เศรษฐาและพรรคเพื่อไทย ระบุว่า จะให้ความสำคัญสูงสุด โดยเฉพาะกับวิกฤติเอลนีโญที่กำลังเกิดขึ้น