หวั่นประเทศไทยตกขบวน เปิดมูลค่าเศรษฐกิจอวกาศ 16 ล้านล้าน

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

หวั่นประเทศไทยตกขบวน เปิดมูลค่าเศรษฐกิจอวกาศ 16 ล้านล้าน

Date Time: 1 พ.ค. 2566 05:26 น.

Summary

เปิดมูลค่าเศรษฐกิจอวกาศปี 2565 แตะ 16 ล้านล้านบาท เฉพาะท่องเที่ยวทะลุ 3,500 ล้านบาท เป็นห่วงไทยจะเกาะขบวนได้หรือไม่ หลังมูลค่าลงทุนด้านเทคโนโลยีลดลงต่อเนื่อง จำนวนสตาร์ตอัพและยูนิคอร์นมีน้อย

Latest

ทำไมการปล่อยให้ไทยเป็น “ฐานฟอกเงินโลก” กระทบชีวิตและการเงินคนไทย

เปิดมูลค่าเศรษฐกิจอวกาศปี 2565 แตะ 16 ล้านล้านบาท เฉพาะท่องเที่ยวทะลุ 3,500 ล้านบาท เป็นห่วงไทยจะเกาะขบวนได้หรือไม่ หลังมูลค่าลงทุนด้านเทคโนโลยีลดลงต่อเนื่อง จำนวนสตาร์ตอัพและยูนิคอร์นมีน้อย คนไทยขาดทักษะด้านภาษาและไอซีที โดยคนไทย 100 คนเขียนโปรแกรมได้ 1 คน ต้องนำเข้าแรงงานไอซีทีชั้นสูง ทั้งจากปากีสถาน บังกลาเทศ ซึ่งเป็นประเทศยากจนกว่า แต่สร้างคนได้

นายอธิป อัศวานันท์ ผู้อำนวยการสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย เปิดเผยในวงเสวนา “New Space Economy : Creating the Future of Thai Digital Economy with Space Technology” ว่า แม้ในช่วงโควิดที่ผ่านมา มูลค่าของเศรษฐกิจอวกาศหรือ Space Economy มีแต่เติบโตเพิ่มขึ้น โดยเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา มูลค่าเศรษฐกิจอวกาศขยับขึ้นไปแตะ 464,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 16 ล้านล้านบาท และมากกว่า 80% ของบิ๊กดาต้า (Big Data) หรือข้อมูลขนาดใหญ่บนโลกใบนี้ คือบิ๊กดาต้าที่เป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ (Geospatial Big Data) โดยข้อมูลชนิดนี้ถูกสร้างขึ้นมหาศาลในแต่ละวัน จากโทรศัพท์มือถือ, IoT sensors, โดรน, ภาพถ่ายดาวเทียม เป็นต้น

“ปัจจุบันตลาดการส่งข้อมูล (Satellite-Based Data) คิดเป็นสัดส่วนไม่น้อยกว่า 40% ของมูลค่าเศรษฐกิจอวกาศทั้งหมดหรือประมาณ 150,000 ล้านเหรียญฯ นอกจากนั้น เป็นธุรกิจในกลุ่มผู้ผลิตดาวเทียมมูลค่าประมาณ 40,000 ล้านเหรียญฯ ส่วนที่เหลือเป็นมูลค่าธุรกิจท่องเที่ยวทางอวกาศ (Space Tourism) ที่กำลังมาแรง ปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านเหรียญฯ หรือราว 3,500 ล้านบาท ปัญหาคือประเทศไทยจะสามารถฉกฉวยโอกาสเพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจอวกาศได้อย่างไร และจะยืนอยู่ตรงไหนได้บ้าง”

นายอธิปกล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือปัญหาเรื่องคน ประเทศไทยขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะด้านภาษาอังกฤษและทักษะด้านดิจิทัล จากการวัดความสามารถด้านภาษาอังกฤษ (English Proficiency) ของคนไทย เมื่อปี 2565 ในบรรดา 113 ประเทศทั่วโลก พบไทยอยู่ในอันดับที่ 97 ขณะที่ความสามารถไอซีทีพื้นฐาน (Basic) ความสามารถไอซีทีระดับมาตรฐาน (Standard) และความสามารถด้านไอซีทีระดับสูง (Advanced) อยู่ที่ 52%, 42% และ 1% ตามลำดับ นั่นแสดงให้เห็นว่าในบรรดาคน 100 คน มีคนไทยที่สามารถเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งถือว่าทักษะไอซีทีระดับสูงอยู่เพียง 1 คน ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับเกาหลีใต้ที่ 10 คน สหรัฐอเมริกาที่ 16 คน สิงคโปร์ 9 คน กำลังคนและสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัล ยังสะท้อนผ่านตัวเลขการลงทุนด้านเทคโนโลยีของไทยที่กำลังลดลงเรื่อยๆ จากจำนวนสตาร์ตอัพและสตาร์ตอัพระดับยูนิคอร์น (มีมูลค่าบริษัทเกิน 1,000 ล้านเหรียญฯ) โดยในครึ่งแรกของปี 2565 ไทยมีตัวเลขการลงทุนด้านเทคโนโลยี 2% ของการลงทุนทั้งหมด จาก 3% ในปีก่อนหน้าและ 14% ในปี 2558 ตัวเลข 2% ดังกล่าวถือว่าน้อยกว่าเวียดนามและมาเลเซียที่ 8% และห่างจากอินโดนีเซียที่ 49% อยู่มาก และในปี 2565 ไทยมียูนิคอร์นทั้งสิ้น 3 บริษัท มีจำนวนสตาร์ตอัพ 1,000 ราย เทียบกับเวียดนามที่มียูนิคอร์น 5 ราย สตาร์ตอัพ 3,700 ราย สิงคโปร์มียูนิคอร์น 20 ราย สตาร์ตอัพ 55,000 ราย ฟิลิปปินส์มียูนิคอร์น 3 ราย สตาร์ตอัพ 1,500 ราย เป็นต้น โดยไทยมียูนิคอร์นมากกว่ามาเลเซียที่มี 1 รายแต่มีสตาร์ตอัพ 3,500 ราย

นายอธิปกล่าวว่า ปัญหาขาดแคลนแรงงานด้านไอซีที ทำให้ไทยต้องนำเข้าแรงงานด้านนี้มาจากหลายประเทศ ยกตัวอย่าง มาเลเซีย หรือกรณีโปรแกรมเมอร์ ส่วนใหญ่นำเข้าจากปากีสถาน บังกลาเทศ ซึ่ง 2 ประเทศนี้เป็นประเทศที่มีฐานะยากจน แต่สามารถผลิตโปรแกรมเมอร์คุณภาพป้อนตลาดโลกได้ จึงน่าจะต้องฝากคำถามไว้ให้คิดว่าสุดท้ายแล้วคนไทยจะไปอยู่ตรงไหนของโลก.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ