
คลัง ชง ครม.สัปดาห์หน้า ต่ออายุลดภาษีดีเซลอีก 2–3 เดือน หลังมาตรการเดิม สิ้นสุด 20 พ.ย.นี้ ด้านพาณิชย์ดิ้นหาทางเจรจาจีนในเวทีเอเปก ขอนำเข้าปุ๋ยเคมีราคาพิเศษ หวังเพิ่มปริมาณในประเทศ พร้อมย้ำปุ๋ยในประเทศไม่ขาดแคลน ส่วนราคาขึ้น–ลงตามราคาพลังงานโลก แต่ขณะนี้เริ่มลดลงแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 15 พ.ย.นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอให้ขยายระยะเวลามาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ดีเซล เพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพประชาชน และภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หลังมาตรการเดิมจะสิ้นสุดวันที่ 20 พ.ย.นี้ เบื้องต้นคาดจะลดภาษีอีกลิตรละ 3-5 บาท เป็นเวลา 2-3 เดือน เริ่มวันที่ 21 พ.ย.65 จนถึงต้นปี 66 ซึ่งจะทำให้คลังสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีอีกไม่เกิน 20,000ล้านบาท
สำหรับการขยายเวลาปรับลดภาษีดีเซลครั้งนี้ ต้องพิจารณารายละเอียดว่าจะปรับลดลงเท่าไร จะลดเท่ากับครั้งแรกที่ลิตรละ 3 บาท เป็นเวลา 3 เดือน หรือจะลดลงลิตรละ 5 บาท เป็นเวลา 2 เดือน เพราะขณะนี้สถานการณ์ราคาพลังงานเริ่ม ผ่อนคลายแล้ว หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงมาเหลือไม่ถึง 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ต่ำกว่าฐานราคาเป้าหมาย 100 เหรียญฯ ที่คลังตั้งใจจะเข้าไปช่วยพยุง ประกอบกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีทางเลือกในการบริหารสภาพคล่องมากขึ้น หลัง ครม.อนุมัติให้คลังค้ำประกันการกู้ยืมเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมากถึง 150,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้กองทุนกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆ มาช่วยเสริมสภาพคล่องและดูแลประชาชน
อย่างไรก็ตาม ปัญหาขณะนี้ คือ ราคาน้ำมัน ดีเซลที่ไทยใช้อ้างอิงจากสิงคโปร์ ยังสูงเกินบาร์เรลละ 130 เหรียญฯ จึงต้องดูว่ารัฐบาลจะพิจารณาอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม เพราะการลดภาษีเป็นเวลานาน จะไม่เป็นผลดีต่อฐานะการคลังประเทศ โดยเฉพาะการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตที่ผ่านมาติดลบจำนวนมาก เห็นได้จากยอดจัดเก็บรายได้ปีงบประมาณ 65 ที่จัดเก็บภาษีรวมทั้งปีได้ 531,000 ล้านบาท น้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 93,535 ล้านบาท หรือ 15% ส่วนหนึ่งมาจากการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน
ทั้งนี้ หาก ครม.เห็นชอบให้ขยายเวลาลดภาษีดีเซลอีกครั้งจะกลายเป็นครั้งที่ 5 และจะทำให้กรมสรรพสามิตสูญเสียรายได้เกือบ 100,000 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้ลดไปแล้ว 4 ครั้ง สูญรายได้กว่า 78,000 ล้านบาท ได้แก่ ครั้งแรกวันที่ 18 ก.พ.-20 พ.ค.65 ลดภาษีลิตรละ 3 บาท เป็นเวลา 3 เดือน สูญรายได้ 18,000 ล้านบาท ครั้งที่ 2 วันที่ 21 พ.ค.-20 ก.ค.65 เป็นเวลา 2 เดือน ลดลิตรละ 5 บาท สูญรายได้ 20,000 ล้านบาท ครั้งที่ 3 วันที่ 21 ก.ค.-20 ก.ย.65 เป็นเวลา 2 เดือน ลดลิตรละ 5 บาท สูญรายได้ 20,000 ล้านบาท ครั้งที่ 4 วันที่ 21 ก.ย.-20 พ.ย.65 เป็นเวลา 2 เดือน ลดลิตรละ 5 บาท สูญรายได้ 20,000 ล้านบาท ซึ่งการลดภาษีดีเซลทุก 1 บาท จะสูญเสียรายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อเดือน
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ในการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) เดือน พ.ย.นี้ จะหาหนทางเจรจานำเข้าปุ๋ยจากจีน แต่ยังติดปัญหานโยบาย Zero-Covid และจีนยังไม่ส่งเสริมให้ส่งออกปุ๋ย หากนำเข้าจากจีนได้ ก็จะได้ปุ๋ยราคาพิเศษ และเพิ่มปริมาณปุ๋ยเคมีในประเทศ แม้ขณะนี้ไม่มีปัญหาขาดแคลน เพราะนำเข้าจากซาอุดีอาระเบียได้เพิ่มอีก 400,000 ตัน และยังมีการนำเข้าแหล่งนำเข้าปกติอีก แต่จากนี้ต้องเร่งนำเข้าจากรัสเซีย และคาซัคสถาน
“ไทยต้องนำเข้าปุ๋ย 100% แต่ราคาขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก ซึ่งราคาตลาดโลกก็ยังต้องขึ้นอยู่กับราคาน้ำมัน แก๊สธรรมชาติที่ขณะนี้ยังแพงอยู่ เพราะปุ๋ยทำจากแก๊สธรรมชาติ และขนส่งมาไทยด้วยน้ำมัน เมื่อทั้ง 2 ตัวนี้ยังปรับลดลงไม่มาก ราคาปุ๋ยก็ยังปรับลดลงได้ไม่มาก แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ราคาลดลงมาได้มากกว่านี้ ราคาปุ๋ยในประเทศจะถูกกว่านี้ ขอให้มั่นใจอย่างน้อยปริมาณไม่ขาดแคลน ส่วนราคาจะช่วยดูไม่ให้เอารัดเอาเปรียบและค้ากำไรเกินควร”
ส่วนร้อยตรีจักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวภายหลังตรวจสอบโรงงานปุ๋ยเคมีศักดิ์สยามกรุ๊ป อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ว่า ปริมาณสต๊อกมีเต็มโกดัง ทั้งปุ๋ยบรรจุกระสอบแล้ว แม่ปุ๋ย และวัตถุดิบสำหรับผสม ซึ่งผลิตเป็นปุ๋ยสูตรต่างๆ ขายได้ถึงปีหน้า “ตอนนี้สต๊อกในประเทศมีมากถึง 1.4 ล้านตัน มากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 30% มั่นใจได้ว่าเกษตรกรจะมีปุ๋ยใช้เพียงพอ ส่วนราคาลดลงจากช่วงกลางปีแล้ว เช่น ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) ราคาเฉลี่ยภาคกลางลดลง 18% แอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0) ลดลง 26% นอกจากนี้ จากการใช้ปุ๋ยที่ชะลอตัวลง ผู้ผลิตและผู้นำเข้าหลายรายได้ลดราคาปุ๋ยยูเรียหน้าโรงงานตันละ 300 บาท หรือกระสอบละ 15 บาท ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกลดลงในไม่ช้า”.