Perfect storm มรสุมเศรษฐกิจสะท้านโลก ปัจจัยรุมเร้าเข้าสู่ภาวะถดถอย

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

Perfect storm มรสุมเศรษฐกิจสะท้านโลก ปัจจัยรุมเร้าเข้าสู่ภาวะถดถอย

Date Time: 28 มิ.ย. 2565 10:42 น.

Video

Jack Ma กลับมา จะพา Alibaba สร้างอำนาจใหม่ให้วงการเทคจีนได้ยังไง ? | Digital Frontiers EP.50

Summary

The perfect storm of global recession risks ปัจจัยรุมเร้ารอบด้านเพิ่มความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย

Latest


The perfect storm of global recession risks ปัจจัยรุมเร้ารอบด้านเพิ่มความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย

เศรษฐกิจโลกเผชิญปัจจัยเสี่ยงรุมเร้าต่อเนื่องมากว่า 2 ปีแล้ว ตั้งแต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2563 และแม้ว่าเศรษฐกิจจะทยอยฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี 2564 แต่ยังต้องเผชิญแรงกดดันจากการกลายพันธุ์ของโควิด-19 ทั้งสายพันธุ์เดลตา (Delta) ในช่วงกลางปี 2564 และโอมิครอน (Omicron) ในช่วงปลายปี 2564 ขณะที่การเข้าถึงวัคซีนที่ไม่เท่าเทียมในระยะแรกส่งผลให้ประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วที่ประชากรได้รับวัคซีนทั่วถึงฟื้นตัวได้เร็วกว่าประเทศเศรษฐกิจกำลังพัฒนา

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกในปี 2565 กำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง จาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

1. สงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ปัญหาอุปทานคอขวดกลับมาแย่ลงและยืดเยื้อกว่าที่คาด อีกทั้ง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะในภาคพลังงานและอาหารยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง

2. มาตรการล็อกดาวน์และควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มข้นจากนโยบาย Zero Covid ของจีน กระทบต่ออุปสงค์ภายในประเทศจีนและซ้ำเติมปัญหาอุปทานโลกเพิ่มเติม จากบทบาทของจีนที่เป็นประเทศผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ และหนึ่งในศูนย์กลางการขนส่งของโลก

3. การดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวของธนาคารกลางของเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ที่เร็วและแรงเพื่อสกัดเงินเฟ้อ กดดันการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเพิ่มความผันผวนในภาคการเงินโลก

ทั้งนี้ ความเสี่ยงดังกล่าวส่งผลให้ 3 เศรษฐกิจหลักของโลก อันได้แก่ สหรัฐฯ ยุโรป และจีน มีแนวโน้มชะลอตัวลงในเวลาเดียวกัน แม้ด้วยปัจจัยที่แตกต่างกันไป ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกในปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ

นำโดยเศรษฐกิจยุโรปที่มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอยมากที่สุด เนื่องจากได้รับผลกระทบรุนแรงจากสงครามรัสเซียและยูเครน เศรษฐกิจยุโรปมีการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจสำคัญของภูมิภาค ได้แก่ เยอรมนี และอิตาลี ทำให้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติการขาดแคลนพลังงาน

ส่งผลให้ระดับราคาพลังงานและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นรุนแรง กดดันการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภาคเอกชน รวมถึงส่งผลให้ธนาคารกลางของยุโรปต้องดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวเร็วขึ้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงด้านภาระต้นทุนการกู้ยืมให้เพิ่มขึ้นและกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ให้ปรับแย่ลง โดยเฉพาะอิตาลี และกรีซ ที่มีระดับหนี้ต่อ GDP สูงกว่า 100%

ในส่วนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงเร็วจากการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ตึงตัวรุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 30 ปี เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นเร็วสุดในรอบกว่า 40 ปี จากความไม่สมดุลของด้านอุปสงค์และอุปทาน กล่าวคือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ร้อนแรงในปีที่ผ่านมาส่งผลให้อุปสงค์อยู่ในภาวะแข็งแกร่ง ประกอบกับตลาดแรงงานที่อยู่ในภาวะตึงตัวมากส่งผลให้ระดับค่าจ้างปรับตัวสูงขึ้นเร็ว

ขณะที่อุปทานสินค้ายังฟื้นตัวไม่เต็มที่ อีกทั้ง สงครามในยูเครนได้ซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อให้รุนแรงขึ้นจากระดับราคาพลังงานที่จะอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ส่งผลให้ธนาคารกลางของสหรัฐฯ ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% หรือ 75 bps ในการประชุมในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราที่ตลาดเคยคาดการณ์ไว้ และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อครั้งที่มีขนาดสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2537

นอกจากนี้ ธนาคารกลางมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 50-75 bps ในการประชุมครั้งต่อไป จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้นเร็วได้


เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก และถูกซ้ำเติมด้วยปัจจัยภายนอกจากการชะลอตัวของอุปสงค์โลก โดยที่ผ่านมาทางการจีนได้ดำเนินนโยบาย Zero Covid ต่อเนื่อง เพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านสาธารณสุขที่มุ่งเน้นให้อัตราการติดเชื้อและการเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำ

เนื่องจากจำนวนประชากรของจีนที่สูงมาก จะส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตในจีนอาจสูงมากแม้อัตราการติดเชื้อจะต่ำ นโยบายที่เข้มงวดส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิต และการชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัวช้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

รวมถึงทำให้อัตราการว่างงานกลับมาอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2563 อีกทั้ง ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นกิจกรรมสำคัญของเศรษฐกิจจีน (เกือบ 30% ของ GDP) มีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง จากมาตรการควบคุมด้านสินค้าเพื่อลดความร้อนแรงที่อาจกลายเป็นความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ภาคการส่งออกที่เคยเป็นปัจจัยสำคัญสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนก็มีแนวโน้มชะลอตัวลงในปีนี้จากอุปสงค์ทั่วโลกที่ชะลอตัวลงเช่นกัน

ปัจจัยเสี่ยงรุมเร้าข้างต้นจะกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป ส่งผลให้ความน่าจะเป็นที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในระยะต่อไปมีเพิ่มมากขึ้น จากการชะลอตัวลงพร้อมกันของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุโรป และจีน อีกทั้ง นโยบายทางการเงินมีแนวโน้มตึงตัวขึ้นเร็วพร้อมกันทั่วโลกเพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงในปีนี้มีอยู่ต่ำ เนื่องจากเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ยังต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อเมื่อเทียบกับวิกฤตในอดีต

เช่น วิกฤติ 2513 ที่อัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่า 10% อีกทั้ง เศรษฐกิจอยู่ในภาวะแข็งแกร่งกว่า สะท้อนจากอัตราการว่างงานในปัจจุบันที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงสถานะทางการเงินภาคเอกชนที่อยู่ในภาวะเข้มแข็ง สะท้อนจากระดับหนี้ที่ยังไม่สูงมาก และอัตราเงินออมที่อยู่ในระดับสูงผลจากข้อจำกัดในการใช้จ่ายในช่วงโควิด-19 ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะสนับสนุนการใช้จ่ายภาคเอกชน ทำให้สามารถรองรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากภาวะทางการเงินที่ตึงตัวขึ้นต่อไปได้

ทั้งนี้ ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยจะมีเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในปีหน้า หากปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์โลกยังคงยืดเยื้อ และธนาคารกลางทั่วโลกไม่สามารถควบคุมเงินเฟ้อให้กลับเข้าสู่ระดับเป้าหมายในระยะต่อไปได้ ทำให้ต้องดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวเร็วและรุนแรงมากขึ้นอีก ท่ามกลางปัจจัยสนับสนุนการใช้จ่ายภาคเอกชนที่จะทยอยอ่อนแรงลงในระยะต่อไป จึงอาจนำไปสู่การหดตัวของเศรษฐกิจที่รุนแรงได้

บทความโดย จงรัก ก้องกำชัย
นักวิเคราะห์ Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
eic@scb.co.th | EIC Online: www.scbeic.com


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ