พลังงานเพิ่งตื่นค่าการกลั่นพุ่งปรี๊ด เตรียมประสานพาณิชย์ตรวจสอบต้นทุน

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

พลังงานเพิ่งตื่นค่าการกลั่นพุ่งปรี๊ด เตรียมประสานพาณิชย์ตรวจสอบต้นทุน

Date Time: 3 มิ.ย. 2565 06:16 น.

Summary

กบง.ลุยสอบค่าการกลั่นน้ำมัน หลังพุ่ง 5 บาทต่อลิตร จากค่าเฉลี่ยที่ผ่านมา 2 บาทต่อลิตร ด้านโรงกลั่นโอดแบกรับขาดทุนกว่า 30,000 ล้านบาท

Latest

โอกาสสุดท้ายคนซื้อรถไฟฟ้า แห่จอง “มอเตอร์เอ็กซ์โป” หวั่นราคาขึ้นปีหน้า

กบง.ลุยสอบค่าการกลั่นน้ำมัน หลังพุ่ง 5 บาทต่อลิตร จากค่าเฉลี่ยที่ผ่านมา 2 บาทต่อลิตร ด้านโรงกลั่นโอดแบกรับขาดทุนกว่า 30,000 ล้านบาท และต้องลงทุนรักษาสิ่งแวดล้อมอีก 50,000 ล้านบาท

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า สนพ.จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ ที่อยู่ในคณะอนุกรรมการที่ดูราคาการกลั่น ภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อพิจารณา ค่าการกลั่นน้ำมัน (กำไร) ที่ในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา ค่าการกลั่นขึ้นไปอยู่ที่ 5 บาทต่อน้ำมัน 1 ลิตร เมื่อเทียบกับค่าการกลั่นเฉลี่ยอ้างอิง อยู่ที่ 2 บาทต่อลิตร พร้อมกันนี้จะเรียกกลุ่มโรงกลั่นมาหารือถึงต้นทุนที่แท้จริง คาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆนี้

“ค่าการกลั่นระดับ 5 บาทต่อลิตรถือว่าสูง แต่ต้องดูว่าต้นทุนแท้จริงในการซื้อน้ำมันดิบ แหล่งซื้อ ค่าใช้จ่ายต่างๆ เมื่อคำนวณแล้วออกมาเท่าไหร่ เหมาะสมหรือไม่ เพราะกลุ่มโรงกลั่นอาจมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเช่นกันในภาวะปัจจุบัน ต้องให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ทั้งนี้ หากค่าการกลั่นลดลงราคาน้ำมันก็จะลดลงเช่นกัน”

สำหรับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกหลังจากนี้คาดว่าอาจไม่พุ่งแรงเหมือนช่วงที่ผ่านมา ช่วงที่เหลือของปีคาดอยู่ระดับ 110 เหรียญฯ เพราะขณะนี้กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (อียู) ผู้ใช้พลังงานหลักจากประเทศรัสเซียเริ่มปรับตัว โดยหันไปใช้แหล่งพลังงานอื่นมากขึ้น ขณะเดียวกันคาดว่าสหรัฐฯจะปล่อยเชลก๊าซ (ก๊าซธรรมชาติในชั้นหินดินดาน) ป้อนตลาด เพราะราคาจูงใจ แม้จะมีปัญหาเรื่องคาร์บอนอยู่บ้าง

นายวัฒนพงษ์กล่าวถึงความต้องการใช้พลังงานไทยปีนี้ ว่า คาดว่าจะขยายตัว 2.1% ภายใต้สมมติฐานผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) เติบโต 2.5-3.5% อัตราแลกเปลี่ยน 33.30-34.30 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบดูไบ อยู่ที่ 105-110 เหรียญ และจีดีพีโลกเติบโต 3.5% ขณะที่การใช้พลังงานขั้นต้น (น้ำมันก๊าซธรรมชาติ) รายชนิดพบว่าเติบโตเกือบทุกประเภท ยกเว้นก๊าซธรรมชาติ คาดว่าจะลดลง 9.5% จากราคาที่ปรับสูงมากจากผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครน จนผู้ใช้หันไปพึ่งน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาแทน ขณะที่น้ำมันคาดเพิ่มขึ้น 12.9% ถ่านหิน/ลิกไนต์ เพิ่มขึ้น 6.8% และไฟฟ้าพลังน้ำ/ไฟฟ้านำเข้า 8.2%

นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากประเด็นที่กล่าวถึงกันในสังคมว่า ค่าการกลั่นที่โรงกลั่นน้ำมันสูงขึ้นกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็นผลจากส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินหรือดีเซลเทียบกับน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นมาตลอด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้คำนวณจากส่วนต่างราคาของน้ำมันเบนซินและดีเซลเทียบกับราคาน้ำมันดิบอ้างอิงเท่านั้น แต่ต้องนำส่วนต่างราคาเฉลี่ยของน้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิดตามสัดส่วนการผลิตที่โรงกลั่นผลิตได้

นอกจากนี้ ยังมีก๊าซหุงต้ม หรือน้ำมันเตาที่มีราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดิบมาคำนวณรวมทั้งหมดเทียบกับราคาน้ำมันดิบที่ซื้อจริง ซึ่งรวมค่าพรีเมียมของน้ำมันดิบ หรือราคาส่วนเพิ่มเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบอ้างอิง และค่าใช้จ่ายในการขนส่งจากแหล่งผลิตมายังประเทศไทย เช่น ค่าขนส่งน้ำมันดิบทางเรือ ค่าประกันภัย รวมถึงต้องหักลบต้นทุนค่าพลังงานความร้อน ค่าน้ำและค่าไฟที่ใช้ในการกลั่นอีกด้วย อีกทั้งต้องนำค่าการกลั่นมาหักลบกับค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกิดขึ้น รวมถึงกำไร ขาดทุน จากการบริหารความเสี่ยงด้านราคา และสต๊อกน้ำมัน จึงจะสะท้อนกำไรสุทธิที่โรงกลั่นน้ำมันได้รับจริง

“กำไรที่แท้จริงที่กลุ่มโรงกลั่นได้รับ ไม่ได้สูงตามราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นในไตรมาส 1ที่ผ่านมาแต่อย่างใด อีกทั้งกลุ่มโรงกลั่นยังต้อง
เป็นผู้แบกรับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหากราคาน้ำมันมีทิศทางปรับตัวลดลงในอนาคต ซึ่งก็เป็นไปตามวงจรของธุรกิจน้ำมัน
ที่มีทั้งขาขึ้นและขาลง ดูได้จากในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมา ความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัดและกลุ่มโรงกลั่นขาดทุนสต๊อกน้ำมันในปี 2563 สูงกว่า 30,000 ล้านบาท ยังต้องแบกรับการขาดทุนมาอย่างยาวนานต่อเนื่อง และต้องลงทุนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการลงทุนเพื่อผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 5 ที่ต้องใช้เงินลงทุน 50,000 ล้านบาทอีกด้วย”.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ