การรถไฟเฮ!...ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งรื้อคดีค่าโง่โฮปเวลล์ 2.4 หมื่นล้านบาทใหม่ ชี้! คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญปมนับระยะเวลาฟ้องคดีทำคำพิพากษาเปลี่ยนการยื่นพิจารณาคดีใหม่จึงชอบด้วยกฎหมาย ด้าน “ศักดิ์สยาม” เปิดแนวทางสู้คดียันเดินหน้า สู้เต็มที่ พร้อมขอบคุณคณะผู้พิพากษาศาล ส่วนผู้ว่าการ รฟท.ลั่น! มีทางให้เดินต่อแล้ว
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิด เผยว่า วานนี้ (4 มี.ค.65) ศาลปกครองกลางได้อ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 81-83/2565 โดยมีมติกลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น กรณีให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จ่ายค่าชดเชยค่าตอบแทนตามสัญญาสัมปทานให้บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำนวน 24,000 ล้านบาท เป็นให้พิจารณาคดีใหม่ตามคำขอของกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
สำหรับแนวทางการต่อสู้คดีในอนาคตของกระทรวงคมนาคม โดย รฟท.นั้นจะนำประเด็นต่อสู้ในประเด็นปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องของ อายุความ หรือการนับระยะเวลาการฟ้องคดีตั้งแต่วันที่รู้ หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี, และประเด็นมติคณะรัฐมนตรี รวมถึงประเด็นการจดทะเบียนของบริษัทที่มีวัตถุประสงค์ของบริษัทที่ไม่ชอบ
ด้วยกฎหมาย นอกจากนั้นยังมีประเด็นบริษัทที่มาลงนามกับภาครัฐไม่ได้เป็นบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากภาครัฐ ซึ่งจะเห็นได้ว่าโดยคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดวันนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ภาครัฐได้ต่อสู้คดีใหม่ แต่ทั้งนี้ก็ไม่จบสิ้นกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด อย่างไรก็ตาม จากคำสั่งครั้งนี้ต้องขอบพระคุณคณะ ผู้พิพากษา ศาลปกครองสูงสุดด้วย
รถไฟจัดทีมกฎหมายรื้อคดีโฮปเวลล์
ด้านนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวยืนยันว่า คำสั่งของศาล ปกครองสูงสุดวานนี้ (4 มี.ค.) ในส่วนของภาครัฐถือว่าเปิดโอกาสให้มีทางเดินอีกครั้ง ส่วนในอนาคตคดีนี้ภาครัฐจะกลับมาชนะคดีหรือไม่ก็จะขึ้นอยู่กับคำพิพากษาของศาลในอนาคต อย่างไรก็ตาม ยืนยัน ว่า รฟท.มีความพร้อมในเรื่องของทีมกฎหมายที่จะ รื้อฟื้นคดีโฮปเวลล์กลับมาต่อสู้อีกครั้ง โดยส่วนตัวมีความมั่นใจในแนวทางการต่อสู้คดีตามข้อมูลหลักฐานที่เตรียมไว้ สำหรับรายละเอียดของคำวินิจฉัย ศาลปกครองสูงสุดนั้น ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่ง
กลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้รับคำขอของ กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่ขอให้พิจารณาคดีจ่ายค่าโง่โอปเวลล์ 2.4 หมื่นล้านใหม่ ไว้พิจารณา โดยให้เหตุผลว่าจากคำพิพากษาในคดีดังกล่าวที่ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า บริษัทโอปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด รู้ว่ามีข้อพิพาทเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 ม.ค.41 อันเป็นวันที่ได้รับหนังสือแจ้งบอกเลิกสัญญาจากกระทรวงคมนาคม
เมื่อสัญญาระหว่างคู่พิพาทไม่ได้กำหนดเรื่องระยะเวลาการเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการไว้โดยเฉพาะ การเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโต ตุลาการ จึงกระทำได้ภายในอายุความการฟ้องคดีต่อศาล เมื่อข้อพิพาทได้เกิดขึ้นก่อนที่ศาลปกครองเปิดทำการ การนับอายุความการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง จึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการ คือ วันที่ 9 มี.ค.44 เมื่อบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 24 พ.ย.47 อันเป็นการยื่นภายในกำหนดระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญา ข้อพิพาทนี้จึงเป็นข้อพิพาทที่เสนอต่อคณะอนุญาโตตุลาการภายในระยะเวลาโดยชอบแล้ว
ปมนับระยะเวลาฟ้องทำคำพิพากษาเปลี่ยน
ทั้งนี้ แม้ว่าคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวจะไม่ได้ระบุถึงที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดโดยตรง แต่ก็เริ่มนับเวลาการฟ้องคดีตั้งแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการ ซึ่งต่อมาผู้ตรวจการแผ่นดินได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยว่ามติของที่ประชุมใหญ่ดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มติที่ประชุมใหญ่เกี่ยวกับการเริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีปกครองดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และโดยที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญย่อมเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ตามมาตรา 211 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น การที่ศาลปกครองสูงสุดในคดีดังกล่าวมีคำพิพากษา โดยเริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีตามแนวทางที่กำหนดโดยมติที่ประชุมใหญ่ แล้วต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามติที่ประชุมใหญ่ดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงเป็นกรณีที่ข้อกฎหมายที่ศาลปกครองสูงสุดใช้ในการทำคำพิพากษา หรือคำสั่งเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ ซึ่งทำให้ผลแห่ง คำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่ง ประเทศไทย จึงชอบที่จะขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ได้ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (4) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542
นอกจากนั้น ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดเห็นว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญข้างต้นไม่ได้มีผลเป็นการห้ามไม่ให้คู่กรณีหรือบุคคล ภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในคดีตามคำพิพากษาศาล ปกครองคดีมาใช้เป็นข้ออ้างในการขอให้ศาลปกครอง พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีนี้ใหม่ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (4) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 แต่อย่างใด ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้รับคำขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของกระทรวงคมนาคม และ รฟท.ไว้พิจารณา
“พีระพันธุ์” ยึดข้อกฎหมายคดีขาดอายุความ
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายก รัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้ารับฟังการอ่าน คำสั่งศาลปกครองสูงสุดในคดีโฮปเวลล์ ว่า หลังศาลให้พิจารณาคดีใหม่ กระบวนการก็จะกลับไปพิจารณาใหม่ ซึ่งได้โต้แย้งว่าคดีขาดอายุความ และการที่ใช้มติที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมาตัดสินในทางกฎหมายเราเห็นว่าไม่ถูกต้อง จึงยื่นเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าการที่ ใช้มติที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมาตัดสินคดีนั้นไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงนำคำตัดสินดังกล่าวมายื่นต่อศาลให้พิจารณาคดีใหม่ และวันนี้ศาลปกครองสูงสุดก็เห็นตรงกับเรา โดยให้มีการพิจารณาคดีใหม่ในประเด็นข้อกฎหมายคือคดี ขาดอายุความแล้วหรือยัง ส่วนการบังคับคดีก็จะต้อง งดการบังคับคดีตามที่ศาลปกครองสูงสุดสั่ง
“ถือเป็นข่าวดี เพราะที่ต่อสู้กันมาก็ไม่เคยสำเร็จ นี่เป็นครั้งแรก ก็ต้องขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่ ฝ่ายการเมือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายกรัฐมนตรี ที่ให้โอกาสทำงานสู้อย่างเต็มที่ ซึ่งก็เป็นตัวอย่างในการร่วมมือกันทำงาน และครั้งนี้ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลนี้เพราะประหยัดเงินไปกว่า 3 หมื่นล้านบาท”
ด้านนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ กล่าวว่า หลังจากนี้ต้องกลับมาพิจารณาคดีใหม่เริ่มที่ศาลปกครองชั้นต้น ซึ่งประเด็นปัญหาในข้อเท็จจริงจบไปแล้ว เท่ากับว่าวันนี้จะมีเฉพาะประเด็นข้อกฎหมายเท่านั้น ทั้งนี้ ต้องรอว่าศาลปกครองกลางจะกำหนดนัดอย่างไร ทั้งนี้ ต้องถือเป็นโอกาสประเทศไทย เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่มีลักษณะคล้ายแบบนี้ เมื่อถามว่าโอกาสที่เราจะไม่ต้องจ่ายเงินมีเยอะหรือไม่ ในขณะนี้คิดว่าเราก็ทำให้เห็นชัดเจนมาโดยลำดับ ทั้งศาล ประชาชน และรัฐบาล โดยเฉพาะนายกฯ และ รมว.คมนาคม ก็เต็มที่ ฉะนั้นเรื่องนี้ ก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร ทั้งนี้ ถ้าตอบโดยอิงข้อกฎหมายคิดว่าน่าจะประสบผลสำเร็จ.