2022 ถึงเวลาตลาดรถหรูไทยฟื้นตัว ค่ายรถออกโปรโมชันเจาะลูกค้าเป้าหมาย

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

2022 ถึงเวลาตลาดรถหรูไทยฟื้นตัว ค่ายรถออกโปรโมชันเจาะลูกค้าเป้าหมาย

Date Time: 10 ก.พ. 2565 09:44 น.

Video

ต้นทุนพุ่ง! นำเข้าสินค้าออนไลน์ เตรียมรับมือ ภาษีนำเข้า 1 บาท (ม.ค. 69)  | Thairath Money Night Stand EP.25

Summary

คนไทยกำลังซื้อสูง ถึงเวลาของ "ตลาดรถหรู" หลังค่ายรถยนต์ออก compact car เจาะกลุ่มคนรายได้ 80,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป ดาวน์ 15-25% ยอดการผ่อนชำระอยู่ที่ราว 24,000-40,000 บาทต่อเดือน

Latest


คนไทยกำลังซื้อสูง ถึงเวลาของ "ตลาดรถหรู" หลังค่ายรถยนต์ออก compact car เจาะกลุ่มคนรายได้ 80,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป ดาวน์ 15-25% ยอดการผ่อนชำระอยู่ที่ราว 24,000-40,000 บาทต่อเดือน

EIC คาดการณ์ว่าปี 2022 มูลค่าตลาดรถยนต์หรูของไทยมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวเป็นบวกราว 14%YOY ตามการทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาวะเศรษฐกิจในประเทศ และสถานการณ์การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ที่คาดว่าจะเริ่มคลี่คลายดีขึ้นโดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ยังต้องจับตามองความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนรวมทั้งสายพันธุ์ใหม่ๆ ในไทย

ทั้งนี้ ยอดจดทะเบียนใหม่ป้ายแดงรถยนต์หรูในปี 2022 ที่คาดว่าจะสามารถกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้นั้น โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค รวมไปถึงปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ที่คาดว่าจะมีแนวโน้มคลี่คลายดีขึ้นตามลำดับในปีนี้ รวมทั้งการที่ค่ายรถยนต์ต่างๆ น่าจะสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจแบบออฟไลน์ควบคู่ไปกับการทำการตลาดแบบออนไลน์ได้มากขึ้น

อย่างไรก็ดี ยังคงต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงในเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนที่อาจส่งผลกระทบต่อภาวะการใช้จ่ายในภาพรวมของประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป

สำหรับแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวนั้น EIC มองว่าตลาดรถยนต์หรูในไทยจะสามารถเติบโตไปในทิศทางเดียวกันกับการเติบโตของเศรษฐกิจ อีกทั้งการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous Vehicle) และยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในตลาดที่เปลี่ยนไป ก็จะมีส่วนช่วยสร้างความน่าสนใจและกระตุ้นความต้องการในตลาดรถยนต์หรูให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคตอีกด้วย

นอกจากนี้ แนวโน้มการแข่งขันในตลาดรถยนต์หรูรุนแรงมากขึ้น โดยหลายแบรนด์มีการเพิ่มเซ็กเมนต์ใหม่อย่าง เช่น กลุ่มรถ compact car ที่มีราคาต่ำลงมาเพื่อเจาะกลุ่มกำลังซื้อปานกลางถึงบนได้มากขึ้น

ทั้งนี้ หากพิจารณาจากแบรนด์รถยนต์หรูต่างๆ ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย จะพบว่า ค่ายรถหรูเริ่มเข้ามาเจาะตลาดใหม่ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงบนที่มีความชอบในรถยนต์หรูและเริ่มมีรายได้ที่สูงขึ้น โดยค่ายรถหรูได้ทำการปรับฐานราคาขายที่กว้างขึ้นและมีการกำหนดราคาเริ่มต้นต่ำสุดอยู่ที่ 2 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นยอดขายในกลุ่มตลาดใหม่

เช่น รถยนต์ Mercedes-Benz รุ่น A200, รถยนต์ BMW รุ่น 2 Series Gran Coupe เป็นต้น ซึ่งรถหรูรุ่นดังกล่าวจะสามารถเป็นตัวเลือกให้แก่กลุ่มตลาดใหม่ที่ต้องการเปลี่ยนจากการใช้รถยนต์ญี่ปุ่นรุ่นแพง เช่น Honda Accord, Toyota Camry ที่มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,500,000 บาทขึ้นไป ส่งผลให้กลุ่มตลาดที่เริ่มมีรายได้สูงขึ้นสามารถครอบครองรถยนต์หรูได้มากขึ้น

ทั้งนี้ EIC ได้ยกตัวอย่างการคำนวณการขอสินเชื่อเพื่อซื้อรถ Mercedes-Benz รุ่น A200 ซึ่งมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1.99 ล้านบาท ซึ่งโดยปกติแล้วจะมียอดดาวน์ระหว่าง 15-25% และมียอดการผ่อนชำระอยู่ที่ราว 24,000-40,000 บาทต่อเดือน (ยอดการผ่อนชำระจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในเรื่องระยะเวลาในการผ่อนและการวางเงินดาวน์)

โดยหากใช้ค่ากลางของยอดผ่อนชำระดังกล่าวคือ 24,000 บาทต่อเดือน กลุ่มลูกค้าเป้าหมายควรจะต้องมีรายได้ประจำมากกว่า 80,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป (คำนวณโดยให้ยอดผ่อนชำระรถยนต์มีสัดส่วนไม่เกิน 35% ของรายได้ประจำทั้งหมดต่อเดือน)

เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นตัวของการใช้จ่ายในประเทศในภาพรวม จะพบว่าได้รับแรงหนุนหลักมาจากการใช้จ่ายของกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้สูง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤติโควิดน้อยกว่า

อีกทั้งยังมีการสะสมเงินออมไว้จำนวนหนึ่งในช่วงก่อนหน้านี้ สะท้อนได้จากปริมาณเงินฝากในระบบในช่วงหลังเกิดวิกฤติโควิด (ก.พ. 2020 -พ.ย. 2021) ที่เพิ่มขึ้นถึง 2.01 ล้านล้านบาท

หากวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติมจะพบว่า ปริมาณเงินฝากในระบบที่เพิ่มสูงขึ้นดังกล่าว มาจากการเพิ่มขึ้นของบัญชีเงินฝากที่มีเงินฝากในบัญชีมากกว่า 10 ล้านบาท มากถึง 61.9% ซึ่งจำนวนบัญชีที่มีเงินฝากในระดับนั้นมีสัดส่วนที่น้อยมากหรือคิดเป็น 0.1% ของบัญชีเงินฝากทั้งหมดในประเทศเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวสามารถสะท้อนให้เห็นถึงสัดส่วนผู้มีรายได้สูงที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักในตลาดรถหรูในไทยที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวน้อยกว่ากลุ่มรายได้อื่นโดยเปรียบเทียบ และคาดการณ์ว่ายังมีแนวโน้มที่เติบโตเพิ่มขึ้นในอนาคต

จากการวิเคราะห์ของ EIC พบว่าปัจจุบันกลุ่มบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์อย่างเป็นทางการ (Official dealer) มีข้อได้เปรียบทางการแข่งขันมากกว่ากลุ่มผู้นำเข้าอิสระ หรือ Grey Market เนื่องจากสามารถทำราคาขายได้ถูกลงค่อนข้างมากจากการที่มีโรงงานประกอบรถยนต์ในไทย อีกทั้งยังมีการทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการให้บริการหลังการขายและการซ่อมบำรุงรักษารถยนต์ (After-sale services) ที่ยาวนานขึ้นกว่าในอดีต

จากข้อมูลพบว่า ปัจจุบันผู้บริโภคนิยมซื้อรถยนต์หรูจากบริษัทตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการมากกว่าการซื้อรถหรูจากผู้นำเข้าอิสระ หรือ Grey Market ทำให้ในระยะหลังกลุ่มบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เริ่มมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจัยสนับสนุน ได้แก่

1. การเข้ามาจัดตั้งโรงงานประกอบรถหรูในไทย เช่น BMW และ Mercedes-Benz ส่งผลให้มีต้นทุนการผลิตที่ถูกลงและสามารถทำราคาขายได้ถูกลงจากอดีตค่อนข้างมาก

2. การผลิตรถยนต์หรูไฟฟ้าที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น BMW ที่ได้เปิดตัวรถหรูรุ่น iX และ iX3 ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าที่ที่ผลิตในไทย รวมไปถึง Mercedes-Benz ที่ได้ผลิตรถหรูไฟฟ้ารุ่น The New EQS ที่เป็นรถไฟฟ้า 100%

3. การทำการตลาดเชิงรุกด้วยการขยายระยะเวลาของโปรแกรมการบำรุงรักษา เช่น BMW ที่มีการกำหนดโปรแกรมบำรุงรักษา BMW Service Inclusive (BSI) จากเดิมที่กำหนดระยะเวลาบำรุงรักษา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตรเป็นการขยายโปรแกรมบำรุงรักษา BSI นานถึง 10 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร ซึ่งครอบคลุมถึงการบำรุงรักษาตามระยะ (รวมค่าน้ำมัน ค่าแรงและอะไหล่แท้บีเอ็มดับเบิลยู)

ส่วนค่าย Mercedes-Benz มีโปรแกรมบำรุงรักษาที่เรียกว่า MB Service Plus ซึ่งขยายการรับประกันคุณภาพของรถไม่ว่าจะเป็นการบำรุงรักษา การเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์ ซึ่งขยายการคุ้มครองได้นานสูงสุดถึง 8 ปี และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถยนต์หรูในระยะยาวซึ่งค่อนข้างสูง นับเป็นประเด็นสำคัญประการหนึ่งที่ผู้ซื้อให้ความสำคัญประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์

อีกหนึ่งปัจจัยหนุนที่มีผลต่อแนวโน้มการเติบโตของตลาดรถยนต์หรูคือ พฤติกรรมการใช้จ่ายของกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้สูงในเรื่อง การลงทุนตามความหลงใหล หรือ Passion Investment ซึ่งจะเป็นการลงทุนในของสะสมหรือของรักต่างๆ ตามความชอบหรือความหลงใหลส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเพชร เครื่องประดับ กระเป๋าแบรนด์เนม นาฬิกา รองเท้า ไวน์ งานศิลปะ หรือแม้แต่รถยนต์

โดยรถยนต์หรูหรือรถคลาสสิกก็เป็นหนึ่งในของสะสมที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ที่มีกำลังทรัพย์สูงค่อนข้างมากและนับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการลงทุน ดังนั้น จึงเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่ช่วยให้ตลาดรถยนต์หรูยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้อีกมาก

นอกจากนี้ ในช่วงหลังสถานการณ์โควิดที่รัฐบาลมีการจำกัดการเดินทางออกนอกประเทศ ทำให้กลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงและไม่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจได้หันมาลงทุนของสะสม หรือ Passion Investment ต่างๆ มากขึ้นแทน โดยไม่ได้มองว่าเป็นการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย

แต่ในทางกลับกัน มองว่าการลงทุนในรถยนต์หรูเป็นของสะสม และในบางรุ่นอาจสามารถสร้างกำไรให้กลุ่มผู้มีกำลังซื้อได้ โดยเฉพาะรถยนต์หรูประเภทระดับ Super car และ Hypercar ซึ่งเป็นรถที่มีสมรรถนะสูง ผลิตออกมาจำกัดและและราคาที่สูงกว่ารถหรูทั่วไป ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างดีในอนาคต เช่น Lamborghini, Aston Martin และ Ferrari เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของตลาดรถยนต์หรูและ mega trend ที่ต้องจับตามองในระยะต่อไปภายใต้โอกาสการเติบโตของตลาดรถยนต์หรูในไทยดังกล่าวข้างต้น ยังมีปัจจัยเสี่ยงและความท้าทายด้านอื่นๆ ที่ต้องจับตามอง ทั้งในส่วนของอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์, ปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์โลก รวมไปถึงความต้องการของตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย

ขณะเดียวกัน EIC พบว่าเทรนด์รถยนต์พลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกำลังเข้ามามีบทบาทในตลาดโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งค่ายรถยนต์หรูต่างก็มีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว

ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์หรูรายใหญ่หลายค่ายต่างมุ่งวิจัยและพัฒนาการผลิตรถยนต์ของตนจากที่ใช้เครื่องยนต์หรือ ICE ไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่หรือปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid) ตัวอย่างเช่น การเปิดตัว Mercedes-Benz EQC, Audi E-Tron GT และ Porsche Taycan ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100%

สำหรับในไทยเองก็มีความพยายามผลักดันการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยตามแผน 30@30 ตามที่ภาครัฐตั้งเป้าหมายผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 30% ของการผลิตทั้งหมดในปี 2030 เพื่อก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของอาเซียน

โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนสนับสนุนให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีแก่ผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่างๆ ที่มีการลงทุนผลิต EV ภายในประเทศ ซึ่งค่ายรถยนต์หรูอย่าง Mercedes-Benz กับ BMW ก็เข้าร่วมเช่นกัน ดังนั้น ในอนาคตจึงนับเป็นโอกาสที่ดีของผู้บริโภคที่มีโอกาสซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในราคาที่ต่ำลงและมีแบรนด์ให้เลือกซื้อที่หลากหลายมากขึ้น


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ