
หลังจากคนไทย “กระเป๋าฉีก” จากราคา “เนื้อหมู” สูงขึ้นต่อเนื่อง จนพ่อค้าแม่ขายอาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว หรืออื่นๆ ที่มีหมูเป็นวัตถุดิบ ขึ้นราคาขายเมนูละ 5-10 บาทกันครึกโครม
และโครงการ “พาณิชย์ลดราคาหมู! ช่วยประชาชน” ของกระทรวงพาณิชย์ที่ดำเนินการมาตั้งแต่เดือน พ.ย.ถึงเดือน ธ.ค.64 โดยเปิดจุดขายหมูราคาถูกกิโลกรัม (กก.) ละ 130 บาท รวม 667 จุดทั่วประเทศ และขยายโครงการต่อจนถึงสิ้นเดือน ม.ค.65 แต่ราคาขายเพิ่มขึ้นเป็น กก.ละ 150 บาท ก็ยังไม่สามารถลดความร้อนแรงของราคาลงได้
ส่งผลให้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีดิ้นสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกันแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชน
สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ที่มี “นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน ออกประกาศ “ห้ามส่งออก” หมูเป็น หรือหมูมีชีวิตเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค.-5 เม.ย.65 ซึ่งจะทำให้มีหมูเข้าสู่ตลาดได้ราว 1 ล้านตัว
พร้อมให้ผู้เลี้ยงเกิน 500 ตัว ผู้ค้าส่งเกิน 500 ตัว ห้องเย็นที่เก็บสต๊อกเกิน 5,000 กก. แจ้งสต๊อกต่อกรมการค้าภายใน และแจ้งราคาทุก 7 วัน เริ่มวันที่ 10 ม.ค.65 เพื่อให้ทราบปริมาณที่แท้จริง และนำหมูเข้าสู่ระบบโดยเร็วที่สุด
ขณะเดียวกัน กระทรวงเกษตรฯ เร่งส่งเสริมการเลี้ยงให้มากขึ้น รวมถึงเร่งสร้างความมั่นใจและเพิ่มศักยภาพการเลี้ยง ทั้งด้านพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค สนับ สนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ส่วนธนาคารเพื่อการเกษตรและสห กรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีโครงการ “สานฝันสร้างอาชีพ ยกระดับรายได้เกษตรกร” โดยจะพิจารณาลดดอกเบี้ยหนี้เดิม พักชำระหนี้เดิม หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ เพื่อให้เกษตรกรมีเงินทุนในการเลี้ยง
สาเหตุที่ กกร.ต้องออกมาตรการดังกล่าว เพราะราคาหมูเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายเดือน ต.ค.64 หลังกินเจ รัฐบาลทยอยเปิดประเทศรับต่างชาติ และคลายมาตรการคุมเข้มโควิด–19 ทำให้ความต้องการเพิ่มขึ้น คาดว่าราคาจะขยับขึ้นได้อีกช่วงตรุษจีน จากปริมาณหมูที่เข้าสู่ตลาดลดลงมาก และต้นทุนการเลี้ยงทะยาน!!
โดยราคาล่าสุด วันพระที่ 2 ม.ค.65 (ราคาหมูปรับขึ้น-ลงทุกวันพระ เพราะโรงฆ่าสัตว์ปิด) สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ประกาศราคาแนะนำขายเพิ่มขึ้นทุกชนิด โดยหมูเป็นขึ้นมาอยู่ที่ กก.ละ 98-108 บาท ขายส่ง (หมูเนื้อแดง) กก.ละ 156-172 บาท และขายปลีก กก.ละ 194-214 บาท แต่ตลาดสดที่รับหมูเนื้อแดงมาเป็นทอดที่ 2 ที่ 3 เกิน กก.ละ 220 บาท
ส่วนสาเหตุที่ทำให้หมูเข้าสู่ตลาดลดลงมาก เป็นเพราะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เกิดโรคระบาดในหมู เช่น โรคอหิวาต์แอฟริกา (ASF) โรคเพิร์ส (PRRS) โรคท้องร่วง (PED) ทำให้หมูตายจำนวนมาก โดยปี 64 มีการเลี้ยง 19 ล้านตัว เป็นการบริโภคในประเทศ 18 ล้านตัว และส่งออก 1 ล้านตัว ซึ่งในส่วนบริโภคในประเทศ มีหมูเป็นเข้าสู่ตลาดวันละเพียง 25,000 ตัว จากปกติวันละ 50,000 ตัว และปี 65 คาดปริมาณการเลี้ยงจะเหลือเพียงกว่า 13 ล้านตัวเท่านั้น
ประกอบกับ ผู้เลี้ยงรายย่อยเลิกเลี้ยงไปมาก เพราะขาดทุนสะสมยาวนาน จากราคาหมูไม่สูงมาก อีกทั้งช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา กรมการค้าภายใน ขอความร่วมมือตรึงราคาหมูเป็นไม่เกิน กก.ละ 80 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค ทำให้ผู้เลี้ยงต้อง “กัดฟัน” ตรึงราคา เพราะมีกำไรเล็กน้อย แต่ปัจจุบัน ไม่สามารถตรึงราคา 80 บาทได้ เพราะต้นทุนการเลี้ยงใกล้แตะ กก.ละ 100 บาทแล้ว
นอกจากนี้ ต้นทุนการเลี้ยงยังเพิ่มขึ้นมาก จากค่าใช้จ่ายป้องกันโรคระบาดสูงถึงตัวละกว่า 500 บาท และราคาอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นกว่า 30% โดยเมล็ดถั่วเหลือง เพิ่มขึ้นจาก กก.ละ 13 บาท เป็น กก.ละ 18 บาท กากถั่วเหลือง เพิ่มจาก กก.ละ 16 บาท เป็น กก.ละ 21.50 บาท ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพิ่มจาก กก.ละ 6.50 บาท เป็น กก.ละ 10 บาท บางช่วงพุ่งไปถึง กก.ละ 11.50 บาท ส่วนอาหารเสริม วิตามิน เกลือแร่ ที่นำเข้าราคาขยับขึ้นกว่า 25-30%
แม้เกษตรกรที่เพาะปลูกพืชดังกล่าวมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่กลุ่มผู้เลี้ยงหมูเจ็บหนัก!!
มาตรการแก้ปัญหาต่างๆ ที่ทั้ง 2 กระทรวงร่วมกันดำเนินการนั้น ภาครัฐคาดจะทำให้มีหมูเข้าสู่ระบบมากขึ้น ลดการสูญเสียจากโรคระบาด และราคาลดลงได้ แต่คนในวงการหมูมองว่าเป็นการแก้ปัญหาเพียงบางส่วนเท่านั้น ปัญหาใหญ่ อย่างราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ และอาหารสัตว์แพง ยังไม่ได้รับการแก้ไข!!
“นายสุรชัย สุทธิธรรม” นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ย้ำว่า ขอให้กระทรวงพาณิชย์แก้ปัญหาราคาอาหารสัตว์แพงมาตลอด แต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ จะมาคุมราคากับผู้เลี้ยงฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะขาดทุนมานานแล้ว ส่วนการห้ามส่งออก และส่งเสริมการเลี้ยง แม้เป็นมาตรการที่เหมาะสม แต่กว่าจะทำให้หมูกลับเข้าสู่วงจรปกติได้ต้องใช้เวลาราว 1 ปี จึงยังเห็นราคาทรงตัวในระดับสูงต่อไปอีก
มาตรการเหล่านี้จะได้ผลหรือไม่ และรัฐจะแก้ปัญหาราคาอาหารสัตว์แพงหรือไม่ คงต้องรอดูกันไป แต่สำหรับผู้บริโภค ถ้าหมูราคาแพงจนเกินรับไหว ช่วงนี้บริโภคเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ที่ราคาถูกทดแทนไปก่อนจะดีกว่า.
สิริวรรณ พงษ์ไพโรจน์