ทลายขุมทรัพย์ ATK

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ทลายขุมทรัพย์ ATK

Date Time: 7 ก.ย. 2564 05:03 น.

Summary

  • ทันทีที่กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใช้ชุดตรวจโควิด-19 แบบตรวจหาแอนติเจนด้วยตนเอง (เอทีเค) เพื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในคนไทย ตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา

Latest

กรมรางฯพาเปิดโลกดูงานรถไฟข้ามทวีป เส้นทาง “สิงคโปร์-ไทย-จีน” เชื่อมยุโรป

ทันทีที่กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใช้ชุดตรวจโควิด-19 แบบตรวจหาแอนติเจนด้วยตนเอง (เอทีเค) เพื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในคนไทย ตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา

ทำให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะคนที่มีรายได้น้อย ออกอาการวิตกกังวลว่า จะมีปัญญาซื้อชุดตรวจที่ว่านี้หรือไม่ เพราะเกือบทั้งหมดต้องนำเข้า และราคาแพงแน่นอน

จึงมีเสียงเรียกร้องให้กระทรวงพาณิชย์ “คุมราคาขาย” เอทีเค เหมือนหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ และใช้มาตรการกำกับดูแล ไม่ให้ประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ก็ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์กำกับดูแลเช่นกัน

ส่งผลให้กระทรวงพาณิชย์ นัดประชุมร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานหลักที่ดูแลสินค้าด้านการแพทย์ทั้งหมด เพื่อหาแนวทางกำกับดูแลเอทีเคให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดให้เอทีเคที่จะวางขายในท้องตลาด ต้องขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อน เพื่อที่ อย.จะได้ตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย และประสิทธิภาพ

อีกทั้งยังกำหนดให้ขายเฉพาะที่สถานพยาบาล เช่น โรงพยาบาล, คลินิกเวชกรรม หรือเทคนิคการแพทย์ และร้านขายยาแผนปัจจุบันที่มีเภสัชกรประจำ เพราะจะได้ให้คำแนะนำการใช้งานได้ การขายในแหล่งอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ รวมถึงการขายผ่านออนไลน์ถือว่าผิดกฎหมาย

ส่วนกระทรวงพาณิชย์ แม้ยืนยันมาตลอดว่า ไม่สามารถ “คุมราคา” เอทีเคแบบราคาเดียวในทุกยี่ห้อเหมือนหน้ากากอนามัยได้ เพราะเอทีเคมีความหลากหลายของคุณภาพ ขนาด ชนิดของน้ำยา ฯลฯ ที่สำคัญ การคุมราคาขายที่ต่ำเกินไป อาจทำให้ผู้นำเข้าไม่คุ้มทุน และไม่นำเข้ามาขาย ซึ่งอาจทำให้สินค้าขาดแคลนได้

แต่ได้ใช้กลไกของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ที่มี “นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน ออกคำสั่งให้ผู้ประกอบการ แจ้งต้นทุนมาที่กรมการค้าภายใน เพื่อจะได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข พิจารณาราคาขายที่เหมาะสม

เนื่องจากเอทีเค เป็นสินค้าควบคุม ภายใต้รายการเวชภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการรักษาโรค ตามประกาศ กกร.ฉบับที่ 8 ลงวันที่ 28 มิ.ย.64 ซึ่งล่าสุดวันที่ 26 ส.ค.64 มีแจ้งมาแล้ว 37 ราย จากจำนวนผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนกับ อย. 40 ราย รวม 43 ผลิตภัณฑ์ ขณะที่มีการนำเข้าและจำหน่ายในท้องตลาดแล้ว 27 ราย

นอกจากนี้ กกร.ยังได้ตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาการจำหน่ายชุดตรวจและน้ำยาที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยการติดเชื้อSARS-CoV-2 (เชื้อก่อโรคโควิด-19) แบบตรวจหาแอนติเจนด้วยตนเองที่เป็นธรรม โดยมี “นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร” ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน เพื่อติดตามสถานการณ์ราคา รวมทั้งพิจารณาแนะนำการกำกับดูแลเกี่ยวกับราคาเอทีเค เพื่อสร้างความเป็น
ธรรมให้กับประชาชน

ซึ่งจากการติดตามล่าสุด ราคาขายลดลงแล้ว 10-20% และมีแนวโน้มลดลงอีก เพราะมีผู้จำหน่ายเพิ่มขึ้นมาก จากในช่วงแรกๆ ราคาเฉลี่ยชุดละ 250-350 บาท และมีผู้ขายไม่ถึง 10 ราย อีกทั้งหากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นำเข้ามาแจกฟรีให้ประชาชน 8.5 ล้านชุดแล้ว ราคาจะลดลงอีกมาก

ขณะเดียวกัน กระทวงพาณิชย์ยังมี พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ในมือที่จะกำกับดูแลการจำหน่ายได้ โดยหากพบการขายเกินราคา ค้ากำไรเกินควร จะใช้มาตรา 29 ดำเนินการ

โดยผู้กระทำผิด จะมีโทษปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งที่ผ่านมา ได้ดำเนินคดีกับผู้ค้าโก่งราคาขายเอทีเคแล้วเกือบ 10 ราย และหากประชาชนพบเห็น การค้ากำไรเกินควร แจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ

ส่วนเอทีเค 8.5 ล้านชุด ที่ สปสช.เตรียมแจกฟรี เบื้องต้นจะกระจายในพื้นที่สีแดงก่อน แต่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงต้องทำแบบคัดกรองความเสี่ยงในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” แล้วคลิกที่ “รับชุดตรวจโควิด-19”

หากผลคัดกรอง พบอยู่ในเกณฑ์กลุ่มเสี่ยง ให้รับเอทีเคได้จากหน่วยบริการในพื้นที่ ที่เข้าร่วมโครงการ ล่าสุดมี 1,559 แห่ง เป็นร้านยาแผนปัจจุบันประเภท 1 จำนวน 1,436 แห่ง คลินิกเวชกรรม 114 แห่ง และคลินิกพยาบาล 9 แห่ง ในระยะต่อไป อาจจัดส่งให้ทางไปรษณีย์ โดยจะได้รับคนละ 2 ชุด สำหรับการตรวจ 2 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 5 วัน

สำหรับประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน สปสช. จะกระจายชุดตรวจเอทีเคเชิงรุกในชุมชนพื้นที่สีแดงในกรุงเทพฯ เบื้องต้นกำหนดไว้ 2,000 ชุมชน โดยจะกระจายผ่านผู้นำชุมชน และอาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) ในชุมชน

การดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐเกี่ยวกับเอทีเค น่าจะทำให้คนไทยเข้าถึงได้มากขึ้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด “การ์ดอย่าตก” ตั้งรับโควิด-19 แบบเชิงรุก เพราะไม่รู้ว่า รัฐบาลจะใช้เวลาอีกนานแค่ไหน กว่าจะยับยั้งการแพร่ระบาด และทำให้คนไทยได้ฉีดวัคซีน “เต็มแขน” อย่างปากว่า!!

สิริวรรณ พงษ์ไพโรจน์


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ