
หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงยืดเยื้อ และกรมควบคุมโรค ได้ประเมินความเป็นไปได้ของจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุดไว้ในช่วงเดือน ก.ย.ที่ระดับ 45,000 คนต่อวัน ส่งผลให้ประเทศไทยอาจต้องชะงักอยู่ในสภาวะ “ล็อกดาวน์” ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสที่ 4 ปีนี้
ภาคเอกชนได้ออกมายื่นข้อเสนอให้รัฐบาล เร่งออกมาตรการเยียวยาภาคธุรกิจและประชาชนให้เข้มข้นขึ้น ขณะที่นักวิชาการเริ่มคาดการณ์ถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจที่จะ “ติดลบ” ในปีนี้ ขณะเดียวกัน เริ่มมีความเห็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่า “เม็ดเงินที่รัฐมีอยู่ขณะนี้จะเพียงพอรองรับสถานการณ์กรณีเลวร้าย” ได้หรือไม่ โดยล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เสนอให้รัฐบาลกู้เงินเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านล้านบาท เพื่อเร่งอัดมาตรการ และเม็ดเงินเพิ่มเติม ไม่ให้เศรษฐกิจไทยทรุดลงเร็ว และเกิด “แผลเป็น” ขนาดใหญ่ ที่ทำให้ฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ยาก ในช่วงที่โควิด-19 จบลงแล้ว
อย่างไรก็ตาม รมว.คลัง “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” ได้ชี้แจงว่า “ขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันถึงเรื่องการกู้เงินเพิ่มดังกล่าว เนื่องจากยังมีเม็ดเงินที่สามารถใช้บริหารจัดการในช่วงสถานการณ์โควิด จากพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้ 500,000 ล้านบาท ซึ่งยังเพียงพอต่อการเยียวยาสถานการณ์โควิดในช่วงนี้ได้”
“ทีมเศรษฐกิจ” ได้รวบรวมความคิดเห็นกรณี “ข้อเสนอการกู้เงินเพิ่ม 1 ล้านล้านบาท” ดังกล่าว ทั้งจากหน่วยงานรัฐ คือ ธปท.ผู้เสนอ และภาคเอกชน ว่า ความจำเป็นที่รัฐควรจะกู้เงินเพิ่มนั้น มาจากส่วนไหน และรัฐบาลควรใช้เงินและมาตรการในระยะต่อไปอย่างไร เพื่อให้ตรงจุด และทันเหตุการณ์
สำหรับข้อเสนอให้กระทรวงการคลังเพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเยียวยาประชาชนเพิ่มเติมนั้น นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ความคิดเห็นว่า “ที่ผ่านมา การใช้จ่ายภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจ โดยในปี 2563 เศรษฐกิจไทยหดตัวในทุกด้านจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เว้นแต่การใช้จ่ายภาครัฐด้านเดียวที่ยังขยายตัวได้ และช่วยพยุงการบริโภคของภาคเอกชนได้อย่างมาก หากไม่มีมาตรการเงินโอนช่วยเหลือจากภาครัฐ ผลกระทบจากโควิดต่อการบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะรุนแรงขึ้นมาก จากที่หดตัว 1% ในปีก่อน อาจสูงขึ้นเป็น 6.3% ได้”
และอีกเหตุผลที่สำคัญ คือ การช่วยเยียวยารายได้ ทำให้ความจำเป็นในการก่อหนี้ของประชาชน และภาคธุรกิจลดลงได้บ้าง ดังนั้น การใช้จ่ายของภาครัฐจำเป็นต้องเพิ่มอีกมากในระยะต่อไป และทำให้ลักษณะของการเผื่อความเสียหายข้างหน้า (front-load) ให้ได้มากที่สุด เพื่อเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะมาตรการที่พยุงการจ้างงานและเพิ่มรายได้ รวมถึงการใช้วงเงินตาม พ.ร.ก. 500,000 ล้านบาท ที่อาจใช้เยียวยากลุ่มเปราะบางให้ตรงจุด และทันกาล และออกมาตรการรักษาการจ้างงานและสร้างรายได้โดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม ด้วยขนาดของหลุมรายได้ ที่ทั้งใหญ่และลุกลาม ทำให้รายได้หายไปประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท (ระหว่างปี 2563- 2565) เม็ดเงินของภาครัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันคงไม่เพียงพอ จำเป็นต้องเพิ่มแรงกระตุ้นทางการคลัง เพื่อช่วยให้รายได้และฐานะทางการเงินของประชาชนและเอสเอ็มอี กลับมาฟื้นตัวได้โดยเร็วที่สุด และลดแผลเป็นทางเศรษฐกิจ ที่จะกลายเป็นอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจหลังโควิด
“ในเบื้องต้น จากการประเมินของ ธปท.พบว่า เม็ดเงินจากภาครัฐที่เติมเข้าไปในระบบ ควรมีอย่างน้อย 1 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และจากการประเมินภาพของ ธปท.พบเช่นกันว่า การกู้เงินเพิ่มเติมของภาครัฐ จะช่วยให้จีดีพีกลับมาโตใกล้ศักยภาพเร็วขึ้น และจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในระยะยาว ปรับลดลงได้เร็วกว่ากรณีที่รัฐบาลไม่ได้กู้เงินเพิ่ม
โดยกรณีที่รัฐบาลกู้เงินเพิ่ม 1 ล้านล้านบาท คาดว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ประมาณ 70% ของจีดีพีในปี 2567 แต่ก็จะช่วยขยายฐานรายได้ของประชาชน และฐานภาษี ทำให้เศรษฐกิจไทยเฉลี่ยในช่วง 5 ปีข้างหน้ากลับมาเติบโตได้ที่ 3.2% ใกล้เคียงกับศักยภาพของประเทศ ซึ่งเมื่อจีดีพีเพิ่มขึ้น หนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะลดลงได้ค่อนข้างเร็ว โดยเมื่อเทียบกับกรณีที่รัฐบาลกู้เงินเพิ่ม พบว่า สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ในอีก 10 ปีข้างหน้า (ปี 2574) จะต่ำกว่ากรณีที่รัฐบาล ไม่ได้กู้เงินเพิ่มเติมถึงกว่า 5% และเศรษฐกิจในช่วง 5 ปีข้างหน้าจะโตได้เฉลี่ยไม่ถึง 3%
“หากรัฐบาลไม่เร่งพยุงเศรษฐกิจเพิ่มเติมในภาวะที่ความไม่แน่นอนสูง เพื่อป้องกันไม่ให้วิกฤติยืดเยื้อ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี แม้จะเพิ่มขึ้นช้า แต่จากการประมาณการ คาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงและปรับลดลงได้ไม่มากนักในระยะยาว”
ทั้งนี้ มาตรการการคลังที่มีความสำคัญเร่งด่วน คือ มาตรการส่งผลกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือมาตรการที่มี “ตัวคูณ” (multiplier) สูง เช่น มาตรการที่รัฐช่วยออกค่าใช้จ่าย (co-pay) อาทิ มาตรการคนละครึ่ง (multiplier 1.5 เท่า) และมาตรการค้ำประกันสินเชื่อ (multiplier 2-2.6 เท่า) โดยมาตรการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากนั้น มักเป็นการดึงเม็ดเงินจากภาคเอกชนเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งจะมีผลเพิ่มเติมจากการเพิ่มสภาพคล่องของธุรกิจและการจ้างงาน ขณะที่มาตรการให้เงินเยียวยาเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ จะมีความจำเป็นในระยะสั้น แต่เนื่องจากมี multiplier ต่ำกว่า (0.8-1 เท่า) จึงควรใช้แบบตรงจุด หรือ “ตามอาการ” ให้ได้มากที่สุด
ขณะที่ภาคเอกชนนั้น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และหอการค้าไทย รวมถึงนักธุรกิจอีกจำนวนหนึ่งสนับสนุนให้รัฐบาลเร่งกู้เงินเพิ่มเติมเพื่อเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ข้อเสนอของ ธปท.ที่ให้รัฐบาลกู้เงินเพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาท มาฟื้นฟูเศรษฐกิจนั้น ส.อ.ท.ก็มีความเห็นในทิศทางเดียวกัน เพราะเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ส.อ.ท.ก็ได้เคยเสนอให้รัฐบาลเตรียมกู้เงินเพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาทแล้ว
“ที่เป็นเช่นนี้ เพราะ ส.อ.ท.มองเห็นและได้วิเคราะห์ผลกระทบของโควิด-19 ทั้งที่เกิดขึ้นแล้ว และกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งที่จะเกิดในอนาคต ผนวกกับปัญหาความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย ต้องยอมรับว่า ผลกระทบของโควิด-19 รอบที่ 3 มีความรุนแรง เพราะเชื้อโรคมีการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์เดลตา ที่ทั้ง “ฉลาดขึ้น” คือ ไม่แสดงอาการไข้ “เร็วขึ้น” คือ อัตราการระบาดที่เร็วกว่าเดิม และ “ดุขึ้น” คืออัตราการเสียชีวิตที่เร็วขึ้น”
ส่งผลให้เกิดการระบาดอย่างหนักไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มว่าจะยืดเยื้อกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้มาก จำนวนผู้ป่วยสูงขึ้นจากวันละ 10,000 คน พุ่งเป็น 20,000 คนในปัจจุบัน จนต้องมีการประกาศเป็นพื้นที่สีแดงเข้มรวม 29 จังหวัด โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ที่เป็นไข่แดงของประเทศไทย และขยายเวลาล็อกดาวน์ออกไปอีกเรื่อยๆ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดต่อ ให้ความเห็นว่าเดือน ก.ย.นี้ อาจจะมีผู้ติดเชื้อต่อวัน 40,000 คน
“ที่สำคัญ คือ การบริหารการจัดการเรื่องวัคซีนที่ล่าช้า และอัตราฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มของประเทศไทย ล่าสุด เพียง 7-8% ของประชากรทั้งหมด เมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียนนับว่าค่อนข้างน้อย”
“ผลของการแก้ปัญหาที่ล่าช้า สะท้อนให้เห็นว่า การล็อกดาวน์นานเท่าใด ยิ่งส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจสูงมากเท่านั้น โดยเฉพาะผลกระทบต่อภาคท่องเที่ยว เพราะประเทศไทยพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวสูงที่สุดในประเทศอาเซียน โดยในปี 2562 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาถึง 40 ล้านคน สร้างรายได้ 2 ล้านล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในประเทศจำนวนหลายล้านคน”
ล่าสุดสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป เพิ่งประกาศให้ไทยเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงทางด้านการระบาดของโควิด-19 และเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการเดินทางมาไทย ส่งผลลบและยิ่งซ้ำเติมปัญหาเดิมให้แย่ลงไปอีก ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ที่เป็นคลัสเตอร์กันก็ย่ำแย่ไปด้วย ทั้งสายการบิน โรงแรม ค้าปลีก ค้าส่ง ห้างสรรพสินค้า อสังหาริมทรัพย์ ร้านอาหาร ร้านนวด ร้านสปา ร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ ส่งผลให้ต้องปิดและเลิกกิจการ คนตกงานจำนวนมาก
“กิจการที่ยังเปิดดำเนินการอยู่ ส่วนใหญ่ก็อยู่ในอาการร่อแร่ โคม่า ได้แต่รอคอยความช่วยเหลือจากรัฐบาล ซึ่งความเสียหายทางเศรษฐกิจครั้งนี้ เหมือนเกิดสึนามิ โดยเฉพาะกับบรรดาเอสเอ็มอี ที่สายป่านสั้น”
ดังนั้น ถ้าประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด รัฐบาลต้องเติมเงินใส่เข้าไปให้ใกล้เคียงกับที่เสียหายไป เพราะ ธปท.มองว่า ขนาดรายได้ของคนไทยที่จะหายไป 2.6 ล้านล้านบาท ระหว่างปี 2563-2565 รัฐบาลก็ได้กู้เงินไปแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งแรก 1 ล้านล้านบาท ครั้งที่ 2 อีก 500,000 ล้านบาท เพราะฉะนั้น ครั้งนี้ ต้องกู้เพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาท รวมทั้งหมด 2.5 ล้านล้านบาท ใกล้เคียงกับตัวเลขความเสียหาย จึงจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยยึดหลัก ธุรกิจใดเสียหายไปเท่าไร ก็เติมเงินให้ธุรกิจนั้นๆ ใกล้เคียงกับที่เสียหาย
“มันเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน รอช้าไม่ได้ ต้องกล้าตัดสินใจ การช่วยให้ผู้ประกอบการรอดพ้นวิกฤติ เป็นเรื่องจำเป็นและเร่งด่วน มิฉะนั้นจะไม่ทันกาล ส่งผลเศรษฐกิจจมดิ่ง ไม่เห็นอนาคต และเมื่อเศรษฐกิจกลับมาทำงาน และขยายตัวเต็มศักยภาพ จะทำให้ความสามารถจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลฟื้นตัวเร็วขึ้น”
มาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “สิ่งที่สมาคมโรงแรมไทยต้องการให้รัฐบาลช่วยดูแล คือ การเยียวยาด้วยวิธีช่วยจ่ายค่าจ้างให้พนักงานของโรงแรม เพื่อรักษาการจ้างงานเอาไว้ เพราะต้นทุนหลักคือ เงินเดือน ควบคู่ไปกับการทำให้ธุรกิจโรงแรมกลับมาดำเนินกิจการได้ เพื่อให้สามารถหารายได้ด้วยตัวเอง”
ถามว่า รัฐบาลควรกู้เงินเพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาท หรือไม่ ตรงนี้ยังไม่รู้ว่าเงินที่กู้มาแล้วใช้หมดรึยัง และไม่ใช่คนที่มีภูมิหลังทางการเงิน ที่จะรู้ว่ากลไกของการใช้หนี้อย่างไร แต่ในมุมของโรงแรม การที่รัฐประกาศปิดกิจการบางส่วน หรือการที่โรงแรมไม่สามารถรับนักท่องเที่ยว หรือดำเนินกิจการได้ ก็ขาดทุนย่อยยับ มีโรงแรมรายใหญ่ประเมินปิดตัวอีก ลดการจ้างงานเพิ่มอีก และลดค่าใช้จ่ายต่างๆ รัฐก็ต้องเยียวยา เพื่ออย่างน้อยที่สุดได้รักษาการจ้างงานไว้
ที่สำคัญการพิจารณาช่วยเหลือภาคธุรกิจใดในอนาคต ขอให้พิจารณาเฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่เยียวยาแบบทุกคนได้หมด เพราะภาคธุรกิจอื่นยังพอไปได้ หรือรอจังหวะฟื้น แต่ธุรกิจท่องเที่ยวเกือบ 2 ปีแล้วที่ขาดทุน ต้องกู้เพิ่ม และอาจพิจารณาจากการขาดทุนที่ผ่านมา 2 ปีก็ได้
“เราอ่อนแออยู่ ยังฟื้นตัวไม่ได้ อีก 1 ปีข้างหน้าก็ยังไม่รู้นักท่องเที่ยวจะกลับมาหรือยัง คงยังไม่กลับมาในกลุ่มใหญ่พอให้เราอยู่รอดแน่นอน และต้องมีทางให้เราอยู่รอดในระยะยาว เอาง่ายๆเลย ได้อ่านเพจของพนักงานโรงแรม เขาบอกว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แล้ว เพราะไม่ได้ใช้มา 2 ปีแล้ว
และพอธุรกิจกลับมา ก็ต้องมีเงินทุนหมุนเวียนในการกลับมาเปิดกิจการ ซึ่งไม่ใช่ง่ายๆ เพราะต้องจ้างคนกลับมา จะมีรึเปล่าก็ยังไม่รู้ บางคนกลับไปต่างจังหวัด อาจมีอาชีพอื่นไปแล้ว แม้กระทั่งการหาเงินมารีโนเวทโรงแรมใหม่ จึงต้องมีเงินช่วยเหลือในช่วงฟื้นฟู ไม่เช่นนั้น ให้ไปกู้แล้ว กู้อีก ก็ไม่ยั่งยืน ธุรกิจโรงแรมจากนี้ไปเหมือนเริ่มใหม่ ธนาคารจะพิจารณาก็เริ่มใหม่ ไม่ดูผลประกอบการที่ผ่านมา โรงแรม 3-4 ดาว จะทำยังไง ถ้าโรงแรม 5 ดาวลดค่าที่พักลงมา ขอให้รัฐบาลช่วยคิดหนักนิดหนึ่งว่า ต้องเยียวยา ต้องช่วยฟื้นฟูให้เกิดการท่องเที่ยวให้ได้ เริ่มจากคนไทยก่อน”
เมื่อท่องเที่ยวเป็นธุรกิจ S CURVE ควรมีโอกาสได้รับการพัฒนา และเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต รวมทั้งเชื่อมไปยังทุก
ภาคส่วน ทั้งเกษตร ชุมชน โลจิสติกส์ สิ่งสำคัญที่สุด รัฐบาลต้องหาทางให้โรงแรมกลับมาดำเนินธุรกิจได้ ด้วยวิธีการสร้างความมั่นใจ เช่น จัดหาชุดตรวจเชื้อโควิดด้วยตนเอง (ATK) ให้พนักงาน หรือ นักท่องเที่ยวคนไทย สุ่มตรวจให้เข้มข้นขึ้น ให้ทานอาหารในโรงแรมได้ และช่วยปลดมาตรการบางอย่าง เช่น ใช้ห้องประชุม อย่าห้ามรวมตัวเกิน 5 คน ขอให้ปรับไปตามพื้นที่ของห้องประชุมว่า เมื่อเว้นระยะห่างแล้ว รองรับได้กี่คน และให้ว่ายน้ำได้
“เรื่องการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน นอกเหนือจากการช่วยจ่ายค่าจ้างพนักงานแล้ว รัฐบาลทำได้มั้ยที่ให้เงินมาบริหารแบบต่างประเทศ หรือถ้าไม่ได้ ก็ต้องจัดหาเงินกู้ระยะยาว ดอกเบี้ยต่ำและพักต้นพักดอก 6 เดือน-1 ปี”
ธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม กำลังรออยู่ว่าการเปิดประเทศใน 120 วัน หรือในเดือน ต.ค.นี้ ที่จะเปิดกรุงเทพฯ จะเป็นไปได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ต้องทำยังไง เพื่อให้อยู่ไปจนถึงสิ้นปีให้ได้ ต้องหดกิจการลง ลดค่าใช้จ่าย หรือปรับตัวเป็นฮอสพิเทล และสถานที่กักตัวทางเลือก (ASQ) แต่ก็ไม่ยั่งยืน เพียงแค่มีรายได้เข้ามาช่วง 1-2 เดือน แต่ไม่ได้ช่วยให้ธุรกิจรอดได้
**********
ทั้งหมดนี้ เป็นความคิดเห็น และเสียงสะท้อนจากภาคเอกชน ซึ่ง ณ วันนี้ กระทรวงการคลังอาจประเมินภาพแล้วเห็นว่า ยังมีเม็ดเงินที่กู้ไว้แล้วใน พ.ร.ก. 500,000 ล้านบาท เพียงพอเพื่อที่จะเยียวยาประชาชนต่อไปอีกระยะ
แต่ก็มีความหวังว่า รัฐบาลและกระทรวงการคลัง คงได้มองภาพ และความจำเป็นในการใช้จ่ายเงินในอนาคต หากสถานการณ์การแพร่ระบาดยืดเยื้อ และช่วงของการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิดไว้แล้วเช่นกัน.
ทีมเศรษฐกิจ