
“อาคม” ยืนยันยังไม่ต้องกู้เงินเพิ่ม 1 ล้านล้านบาท ตามข้อเสนอผู้ว่าการ ธปท. ระบุ ยังมีเม็ดเงิน พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท เพื่อช่วยเยียวยาโควิดช่วงนี้ได้อยู่ ขณะเดียวกัน คลังเตรียมเสนอให้ ครม.คงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ต่อไปอีก 1 ปี ชี้ประชาชนและผู้ประกอบการยังอ่วมผลกระทบโควิด-19
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวถึงข้อเสนอของนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เสนอให้รัฐบาลกู้เงินเพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาท เพื่อใช้ในการเยียวยาโควิดและดูแลเศรษฐกิจหลังจบโควิด ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันถึงเรื่องการกู้เงินเพิ่มดังกล่าวตามที่ ธปท.เสนอมา เนื่องจากยังมีเม็ดเงินที่สามารถใช้บริหารจัดการในช่วงสถานการณ์โควิด จากพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้ 500,000 ล้านบาท ซึ่งยังเพียงพอต่อการเยียวยาสถานการณ์โควิดในขณะนี้
โดยการพิจารณาว่า วงเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 500,000 ล้านบาท ที่จะนำมาใช้ดูแลเยียวยาและเศรษฐกิจช่วงโควิดจนถึงปีหน้าได้หรือไม่นั้น เบื้องต้นจะต้องดูแผนการใช้เงินกู้ตาม พ.ร.ก.ดังกล่าว ซึ่งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ กำหนดไว้ก่อน รวมถึงจะต้องดูวงเงินตามแผนงาน และมาตรการที่จะใช้ในการดูแลประชาชนเพิ่มเติมกรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ลากยาวออกไปด้วย
นายอาคม ยังได้กล่าวถึงกรณีที่มีการเสนอการจัดตั้งกองทุนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องผู้ประกอบการท่องเที่ยว ในวงเงินจำนวน 10,000 ล้านบาทด้วยว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยังไม่ได้เข้ามาหารือกับตนแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับการใช้วงเงินกู้ตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 500,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกู้เงินเพิ่มเติมจากการกู้เงินรอบแรก 1 ล้านล้านบาท ในปัจจุบันได้รับการอนุมัติไปแล้วกว่า 60,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการช่วยเหลือเรื่องการศึกษา 32,000 ล้านบาท และใช้ในการเยียวยาแรงงานในพื้นที่ล็อกดาวน์ 10 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา จำนวน 30,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลัง ได้เตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาคงการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในอัตรา 7% (รวมภาษีท้องถิ่น) สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณีที่เข้าลักษณะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มต่อไป หลังจากการคงอัตราการจัดเก็บภาษีตามอัตราเดิมจะสิ้นสุด วันที่ 30 ก.ย.64 โดยกระทรวงการคลัง จะเสนอให้ ครม.อนุมัติขยายภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% ออกไปอีก 1 ปี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.64 ถึง 30 ก.ย.65 และอัตราส่วนหนึ่งของภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นจะถูกโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมาย
ทั้งนี้ การขยายเวลาลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มออกไปอีก โดยจัดเก็บในอัตรา 7% เท่าเดิม นั้น กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว ยังจำเป็นต้องช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจให้กับภาคเอกชน ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ให้สามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้นหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิดคลี่คลายลง
สำหรับข้อเสนอของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มในอนาคต เพื่อเร่งหารายได้รองรับการกู้เงิน และการใช้คืนหนี้สาธารณะนั้นคงยังไม่เกิดขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจากการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจะต้องดูช่วงเวลาที่เหมาะสมในหลายมิติ โดยเฉพาะสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งปัจจุบันมองว่ามีประชาชนและผู้ประกอบธุรกิจได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์และแพร่ระบาดโควิดจำนวนมาก หากขึ้นไปเกรงว่าจะส่งผลเสียต่อภาพรวมมากกว่าได้ประโยชน์ เช่น อาจทำให้ของแพงขึ้น และกำลังซื้อของประชาชนหดตัวลง ที่สำคัญแผนการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจะถูกพิจารณาร่วมกับแผนใหญ่เกี่ยวกับการปฏิรูปโครงสร้างภาษีในระยะยาว
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้กำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ 10% ตามประมวลรัษฎากร ซึ่งตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงจากระบบภาษีการค้ามาเป็นระบบภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อปี 35 รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยยังไม่เคยมีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเต็มอัตรา โดยได้ออกมาตรการบรรเทาการเก็บ ด้วยการออกพระราชกฤษฎีกาลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือ 7% เป็นประจำทุกปี ยกเว้นช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 40 ที่มีการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 10% แต่หลังจากนั้นก็กลับลดมาใช้เหลือ 7%.