ลูกหนี้ต้องอ่าน “คู่มือแก้หนี้” เคลียร์ครบจบเลย

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ลูกหนี้ต้องอ่าน “คู่มือแก้หนี้” เคลียร์ครบจบเลย

Date Time: 9 ส.ค. 2564 07:30 น.

Summary

  • ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำถึงขีดสุด ภาคเอกชนส่วนใหญ่มองการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้ว่าจะติดลบต่อเนื่องอีกปี หลังจากที่ติดลบ 6.1% แล้วในปีที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาด

Latest

เตรียมใช้รถไฟฟ้าสายสีชมพู "ส่วนต่อขยาย" เข้าเมืองทอง ฟรี 20 พ.ค.-16 มิ.ย.นี้

ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำถึงขีดสุด ภาคเอกชนส่วนใหญ่มองการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้ว่าจะติดลบต่อเนื่องอีกปี หลังจากที่ติดลบ 6.1% แล้วในปีที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดที่กำลังไต่ขึ้นยอดเขาเอเวอเรสต์

การประคองชีวิตให้มีรายได้เพียงพอกับรายจ่ายถือเป็นเรื่องที่สำคัญอันดับหนึ่ง ขณะเดียวกัน “ปัญหาหนี้สิน” ที่ต้องผ่อนชำระจำนวนมากเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องดูแล แต่ถ้าเราเริ่มผ่อนส่งหนี้ไม่ไหว แต่ไม่อยากจะกลายเป็นหนี้เสีย หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จะทำอย่างไรได้บ้าง

ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เร่งรัดการปรับโครงสร้างหนี้ และโครงการแก้หนี้ในช่องทางต่างๆ ซึ่ง “ทีมเศรษฐกิจ” ได้สัมภาษณ์นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตรวจสอบสถาบันการเงิน 2 เพื่อมาเล่าสู่กันฟังถึงแนวทาง และช่องทางต่างๆในการช่วยเหลือลูกหนี้ รวมทั้งให้ข้อมูลช่องทางการแก้หนี้ทั้งหมด ที่ “คนเป็นหนี้ต้องรู้”

ทางหลัก-ทางเบี่ยง-ทางลัดปรับหนี้

ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.ได้เริ่มให้สัมภาษณ์ถึง “แนวทางการแก้ไขหนี้สินประชาชนของ ธปท.ว่า ได้พยายามสร้างทั้ง “ทางหลักทางเลือก ทางลัดและทางเบี่ยง” ในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้ลูกหนี้ที่มีปัญหาชำระหนี้ สามารถแก้ปัญหาเจรจา และปรับโครงสร้างหนี้ได้ในทุกสถานะหนี้”

ไม่ว่าจะเป็นลูกหนี้สถานะไหน ลูกหนี้ที่ยังผ่อนชำระได้ ลูกหนี้เริ่มผ่อนชำระไม่ไหวแต่ยังไม่เป็นหนี้เอ็นพีแอล กลายเป็นหนี้เอ็นพีแอล หรือแม้แต่ลูกหนี้ที่ถูกฟ้องร้อง หรือยึดทรัพย์แล้ว

ทั้งนี้ ทางออกแรกสุดของ “ลูกหนี้” ทุกสถานะ คือการเดินเข้าไปเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงิน หรือบริษัทให้บริการสินเชื่อ (นอนแบงก์) ด้วยตัวเอง ซึ่งมีข้อดีคือ เจ้าหนี้จะเห็นความตั้งใจของลูกหนี้ที่จะชำระหนี้ โดยไม่คิดเบี้ยวหนี้ หรือหนีหนี้ในช่วงสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้น

และตั้งแต่เริ่ม “วิกฤติโควิด” เดือน เม.ย.63 เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ ธปท.ได้ออกมาตรการพักชำระหนี้ สำหรับลูกหนี้ที่ถูกกระทบรุนแรงจนไม่สามารถชำระหนี้ได้ รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ระยะที่ 1 ระยะที่ 2 ในช่วงการระบาด 2 รอบแรก และระยะที่ 3 ในการระบาดรอบนี้ เพื่อเร่งรัดให้สถาบันการเงินดูแลลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ

โดยระบุให้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำสุดที่สถาบันการเงินต้องใช้ปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ประ- กอบด้วยการแปลงหนี้สั้นเป็นหนี้ระยะยาว การลดค่างวดรายเดือน ปรับลดดอกเบี้ย รวมหนี้ เป็นต้น โดยแนวทางนี้ ถือเป็นถนนหลักในการแก้ไขปัญหาหนี้ โดยลูกหนี้เข้ารับการปรับโครงสร้างหนี้ในช่วงสูงสุดกว่า 6 ล้านล้านบัญชี

ขณะเดียวกัน เพื่อให้ลูกหนี้ได้รับความเป็นธรรม และได้รับความช่วยเหลือเพิ่มขึ้น ในช่วงก่อนโควิด-19 ธปท.ได้แก้ไขเกณฑ์สำคัญ 3 เรื่อง คือ 1.การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ จากเดิมที่คิดจากเงินต้น และดอกเบี้ยทั้งก้อน เป็นให้คิดได้เฉพาะงวดที่ผิดนัด 2.ลดเพดานอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ 2-4% จากเพดานเดิม เหลือ 16%, 26% และ 24% ตามลำดับ และ 3. ปรับวิธีการตัดชำระหนี้ โดยให้ตัดเงินต้น และดอกเบี้ยพร้อมกัน ซึ่งตัดค่าธรรมเนียม เงินต้น และดอกเบี้ยในงวดที่ค้างชำระนานที่สุดก่อน

โดยลูกหนี้ติดต่อขอปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารพาณิชย์ได้ ซึ่งธปท.ได้กำชับให้สถาบันการเงิน และนอนแบงก์ เร่งเจรจากับลูกหนี้โดยเร็ว ในเงื่อนไขที่เท่ากับ หรือดีกว่ามาตรฐานขั้นต่ำที่ ธปท.กำหนด

“ไม่อยากให้ลูกหนี้หนีหาย หรือไม่ผ่อนส่งหนี้ เพราะจะมีผลต่อประวัติการเงิน และการใช้ชีวิตในอนาคต ธปท.จึงประสานกับหน่วยงานรัฐ และสถาบันการเงิน รวมทั้งนอนแบงก์ สร้างช่องทางต่างๆ ที่จะช่วยแก้ปัญหาหนี้สิน เพื่อให้ลูกหนี้ผ่อนส่งหนี้ต่อไปได้”

มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ออนไลน์

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การปรับโครงสร้างหนี้รวดเร็วขึ้นกว่าการปรับโครงสร้างโดยสถาบันการเงินเพียงอย่างเดียว ธปท.จึงออกแบบโครงการต่างๆเพิ่มเติมให้ลูกหนี้ที่ต้องการแก้หนี้ ทั้งโครงการที่มีมาก่อนแล้ว เช่น “คลินิกแก้หนี้” และโครงการใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด เช่น “โครงการทางด่วนแก้หนี้ และมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้”

โดยมีข้อดี คือ เมื่อลูกหนี้สมัคร เข้ามา ธปท.จะส่งหนี้ให้สถาบันการเงิน ทำให้รู้ว่าเป็นหนี้ประเภทไหน และขอให้รายงานผลแก้หนี้ให้ธปท.ทุกสัปดาห์ ทำให้มูลหนี้ที่ผ่านโครงการเหล่านี้สำเร็จค่อนข้างมาก

สำหรับ โครงการคลินิกแก้หนี้ จะช่วยเหลือลูกหนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลที่เป็นเอ็นพีแอลแล้ว โดยสามารถรวมหนี้ทั้งหมดเป็นก้อนเดียว ปรับลดค่างวด ผ่อนสูงสุดนานถึง 10 ปี คิดอัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี ลูกหนี้ที่สนใจติดต่อบรรษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) หรือโทร.0-2610-2266 หรือโทร.1443

ขณะที่ โครงการทางด่วนแก้หนี้ จะทำหน้าที่เป็น “ศูนย์” รับเรื่อง รับฟังจากลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้สินทุกกรณีทั้งสินเชื่อรายย่อย และเอสเอ็มอี ทั้งกรณีที่ลูกหนี้ยังไม่เคยคุยกับธนาคารพาณิชย์ หรือคุยแล้วตกลงกันไม่ได้ โดยจะประสานงาน เพื่อหาข้อตกลงในการปรับโครงสร้างหนี้ร่วมกัน ระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้

หลังจากนั้น เป็น “มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ออนไลน์” ซึ่ง ธปท.ร่วมมือกับกรมบังคับคดี กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) จัดขึ้นเพื่อเป็นหนทางในการเข้าถึงการแก้หนี้ของประชาชน ทั้งหนี้ดี หนี้ที่เริ่มผ่อนไม่ไหว หนี้ที่เป็นเอ็นพีแอล

และที่อยากแก้เป็นพิเศษ คือ หนี้ที่อยู่ในกระบวนการฟ้องร้องของศาล และหนี้ที่ถูกยึดทรัพย์แล้วอยู่ระหว่างการขายทอดตลาด และขายทอดตลาดไปแล้ว ซึ่งลูกหนี้หมดหวังแล้ว ให้กลับมาเจรจากันใหม่ได้

ขณะเดียวกัน กระบวนการแก้หนี้ผ่านมหกรรมฯ ยังได้ “วางมาตรฐาน” การแก้หนี้ร่วมกันที่ชัดเจน และเข้าใจตรงกันทั้งฝั่งศาล กรมบังคับคดี เจ้าหนี้ ว่า หากเป็นหนี้ดีจะช่วยเหลืออย่างไร ไกล่เกลี่ยส่วนไหนได้บ้าง กรณีหนี้ที่ผ่อนไม่ไหวทำอย่างไร ลดค่างวด ลดดอกเบี้ยได้เท่าไร หนี้ที่ถูกยึดทรัพย์แล้ว ขอซื้อกลับมาผ่อนต่อ จะเจรจากันในรูปแบบไหน การคิดค่าติดตามทวงถามหนี้ และค่าปรับผิดนัดชำระหนี้ของเจ้าหนี้ มีความเป็นธรรมหรือไม่ ดอกเบี้ยในช่วงพักหนี้ต้องคิดอย่างไร ซึ่งจะทำให้ลูกหนี้ได้รับความช่วยเหลือได้ง่ายขึ้น และลดภาระหนี้ได้มากขึ้น

นอกจากนั้น ยังได้วางแนวทางดูแล “หนี้ส่วนที่เหลือ” จากการขายสินทรัพย์ทอดตลาด หรือ “ติ่งหนี้” โดยมีโปรแกรมให้ลูกหนี้คำนวณได้ว่า หนี้ที่ต้องผ่อนต่อนั้นเป็นจำนวนเงินที่เหมาะสมหรือไม่ บวกค่าธรรมเนียม ค่าติดตามทวงถาม ค่าอื่นๆ มากเกินกว่าเหตุหรือไม่ ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเงินที่เจ้าหนี้คิดกับลูกหนี้ลงได้

“ธปท.จัดแล้ว 3 ประเภทหนี้คือ มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน จบไปแล้วเมื่อ 30 มิ.ย.64 มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ที่ไม่มีหลักประกันที่โอนมาที่บริษัทบริหารสินทรัพย์ จบไปเมื่อ 31 ก.ค.64 และมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้เช่าซื้อ เดิมกำหนดจบโครงการ 31 ก.ค. แต่โควิดยืดเยื้อ จึงเลื่อนไปจนถึง 31 ส.ค.นี้”

หากลูกหนี้สนใจลดภาระหนี้ผ่านมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ และทางด่วนแก้หนี้เข้าไปศึกษา และลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของธปท. หรือที่ https://www.1213.or.th/App/DMed/V1 และหากมีข้อสงสัย หรือต้องการความช่วยเหลือ สอบถามที่ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) โทร.1213 ในวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น. นอกเวลาทำการส่งอีเมลมาที่ Debtfair@bot.or.th พร้อมแจ้งชื่อและเบอร์โทรศัพท์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ ธปท.ติดต่อกลับ

เร่งแก้หนี้บัตรเครดิต-รถยนต์-บ้าน

เหตุผลที่มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้เริ่มจากบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล เพราะเป็นหนี้ที่อัตราดอกเบี้ยสูง เกี่ยวกับคนจำนวนมาก มีจำนวนบัญชีมากเป็นอันดับ 1 ของสินเชื่ออุปโภคบริโภค แม้มูลหนี้รวมจะน้อยกว่าสินเชื่อบ้านและสินเชื่อเช่าซื้อ แต่มีจำนวนบัญชีลูกหนี้มากถึง 49.9 ล้านบัญชี นอกจากนั้น ยังเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน หนี้ก้อนไม่ใหญ่ ทำให้การเจรจาปรับลดหนี้ ลดดอกเบี้ย ขยายการผ่อน ทำได้ง่ายกว่าหนี้ประเภทอื่นๆ

ขณะที่ต่อมาเลือกเป็น “สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์” เพราะเป็นหนี้ที่มีจำนวนบัญชีมากเป็นอันดับ 2 รวม 6.5 ล้านบัญชี และยังเป็นสินเชื่อที่มีความพิเศษ เพราะมีเจ้าหนี้หลายประเภท โดยจากผู้ประกอบการสินเชื่อเช่าซื้อ 41 ราย ธปท.กำกับดูแลแค่ 12-13 ราย ที่เหลืออยู่ในความดูแลของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) แต่ก็ไม่ทั้งหมด เพราะหากเป็นสินเชื่อเช่าซื้อเพื่อการประกอบอาชีพ สคบ.ก็ไม่มีอำนาจดูแลเช่นกัน

โดยการเข้าไปดูแลแก้หนี้สินเชื่อเช่าซื้อรถ พบจุดสำคัญที่ทำให้ ลูกหนี้ที่ผ่อนส่งได้ กลายเป็นผ่อนส่งไม่ไหว คือ การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระ การคิดค่าติดตามทวงถามหนี้ที่สูงมาก และมีค่าธรรมเนียมต่างๆ ยิบย่อย เช่น ค่าใช้จ่ายติดตามรถ ซึ่งคิดสูงมากในแต่ละครั้ง ค่าใช้จ่ายในการยึดรถ จึงได้ร่วมกับ สคบ.แก้ไขปัญหา โดย สคบ.ได้ทยอยออกกฎ เช่น ห้ามคิดค่ายึดรถ กำหนดค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม รวมถึงปรับวิธีคิดดอกเบี้ยผิดนัดให้คิดเฉพาะงวดที่ขาดส่ง ไม่ใช่คิดจากทั้งก้อน เป็นต้น รวมทั้งแก้ปัญหา “ติ่งหนี้” ซึ่งช่วยลดภาระลูกหนี้เช่าซื้อรถได้มาก

หลังจากมหกรรมสินเชื่อเช่าซื้อจบในสิ้นเดือนนี้ ธปท.จะจัด มหกรรมไกล่เกลี่ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ต่อ คาดว่าจะเริ่มได้ช่วงกลางเดือน ก.ย.นี้ เพราะหนี้บ้านเป็นหนี้ที่มีมูลหนี้สูงที่สุด และเป็นหนี้สำคัญของชีวิตคน จึงต้องหาทางช่วยเหลือ โดยจะเป็นไปในลักษณะเดียวกับการช่วยเหลือกรณีสินเชื่อเช่าซื้อ แต่ที่ต้องใช้เวลานาน เพราะเป็นหนี้ที่มีหลักทรัพย์ที่ต้องมีการจดจำนอง โอน หรือตีราคาที่ต้องมีหลายหน่วยงานมาเกี่ยวข้อง

อยากแก้หนี้ต้องเริ่มอย่างไร

“ลูกหนี้แล้วผ่อนส่งหนี้ไม่ไหวในขณะนี้ ไม่อยากให้เครียด วิตกกังวล กลัว หรือคิดไปในทางที่ไม่ดีเพราะเรายังมีทางออก ขอให้ศึกษาสิทธิที่มี ศึกษาช่องทางแก้หนี้ต่างๆ และเข้ามาแก้ปัญหาร่วมกับเจ้าหนี้ ซึ่งจะช่วยลดภาระหนี้ของเราในช่วงนี้ลงไปได้” นางธัญญนิตย์กล่าว

ขณะเดียวกัน คนที่ตัดสินใจ “พักหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย” ชั่วคราวในช่วงก่อนหน้านี้ ควรหาทางเจรจาเพื่อปรับโครงสร้างการชำระหนี้แบบถาวรให้เร็วที่สุด เพราะการพักหนี้ แม้เราไม่ต้องส่งเงินต้น และดอกเบี้ยในงวดที่พัก แต่เจ้าหนี้ไม่ได้หยุดคิดดอกเบี้ยจากหนี้ของเรา ก็เหมือนเราอยู่บ้านเฉยๆ แต่ยังกินเพิ่มเรื่อยๆ ดอกเบี้ยช่วงพักที่เพิ่มขึ้นไปบวกทบเงินต้น สุดท้ายเหมือนเราอ้วนขึ้นๆ จนออกประตูบ้านไม่ได้

ดังนั้น ในระหว่างเวลาที่พักหนี้ ให้ลองคำนวณรายได้ รวมทั้งจำนวนเงินที่เราผ่อนส่งไหวตามความจริง และแนะนำว่า การคุยปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารพาณิชย์ หรือเจ้าหนี้โดยตรง หรือลงทะเบียนผ่านช่องทางแก้หนี้ต่างๆนั้น อยากให้ลูกหนี้เปิดใจบอกไปตรงๆ เลยว่า “สถานะการเงินเป็นอย่างไร เพื่อให้แบงก์หาแนวทางในการผ่อนหนี้ที่เหมาะสมกับเราได้ชัดเจนที่สุด ตามที่ ธปท.ได้ร่วมกับเจ้าหนี้สร้าง “มาตรฐาน” ของการแก้หนี้ไว้แล้ว

และที่สำคัญ หากเจ้าหนี้เสนอแผนการแก้หนี้มาให้ ให้คิดให้ดีก่อนว่า ทำตามแผนนี้ไหวไหม รายได้ในอนาคตพอส่งหนี้ไหม ถ้าไหวก็ตกลง ถ้าไม่ไหวลองแผนที่ 2 แผนที่ 3 เพื่อให้ผ่อนส่งต่อได้จริงๆ ไม่ต้องปรับโครงสร้างหนี้รอบ 2 รอบ 3 หรือมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

โดยลูกหนี้สถานะดี แต่เริ่มผ่อนไม่ไหว ยังไม่เป็นเอ็นพีแอล ช่องทางที่ไปได้คือ ติดต่อเจ้าหนี้โดยตรง มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ และทางด่วนแก้หนี้ ส่วนลูกหนี้ที่เป็นเอ็นพีแอลแล้ว ช่องทางที่ไปได้คือ ติดต่อเจ้าหนี้โดยตรง คลินิกแก้หนี้ และมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ และลูกหนี้ที่ถูกฟ้องร้อง-อยู่ระหว่างดำเนินคดี หรือยึดทรัพย์แล้ว ติดต่อ ได้ที่ทางด่วนแก้หนี้ หรือมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้

ขณะที่เอสเอ็มอีนั้น ที่ผ่านมา ธปท.เปิดช่องทางให้ปรับโครงสร้างหนี้โดยตรงกับเจ้าหนี้ รวมทั้งให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน และโครงการสินเชื่อฟื้นฟู โครงการพักทรัพย์พักหนี้ แต่ยังได้รับการร้องเรียนต่อเนื่องว่า ปรับหนี้ไม่ได้ หรือขอสินเชื่อไม่ได้ ซึ่ง ธปท.อยู่ระหว่างการทำศูนย์ช่วยเหลือแบบครบวงจร เพื่อช่วยดูแล น่าจะเสร็จในเร็วๆนี้

อย่างไรก็ตาม หากลูกหนี้ยังไม่รู้ว่าควรจะแก้หนี้ด้วยวิธีไหน โทร.มาได้ที่เบอร์ 1213 เพื่อรับคำปรึกษา นอกจากนั้น ธปท.ยังมี โครงการ “หมอหนี้” จะเปิดตัวในเดือน ส.ค.นี้ ซึ่งจะเป็น “ที่ปรึกษา” ให้กับลูกหนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปรับโครงสร้างหนี้ รวมทั้งช่วยหาทางปรับปรุงรายได้ ลดค่าใช้จ่าย วางแผนการปรับธุรกิจให้ด้วย

โดยปรึกษาออนไลน์ โทร.คุย หรือนัดคุยกับ “หมอหนี้” ได้ทั้ง 3 รูปแบบ ดูรายละเอียดได้ที่ https://www.bot.or.th/app/doctordebt/ หรือโทร.0-2283-6771 ในเวลาทำการ

เดินหน้าปลดหนี้ “ข้าราชการ-ครู”

สำหรับความสำเร็จของแต่ละโครงการในการช่วยเหลือลูกหนี้ในช่วงที่ผ่านมา ได้ผลดี และช่วยให้ลูกหนี้กลับมาผ่อนส่งหนี้ได้มากขึ้น คนที่ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสไกล่เกลี่ยหนี้ สามารถกลับมาเจรจาจนสำเร็จได้ตั้งแต่ 71-76%

ทั้งนี้ ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.กล่าวถึงการดำเนินการไปข้างหน้าด้วยว่า เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ได้มากขึ้น ธปท.ได้ร่วมกับกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) สหกรณ์ออมทรัพย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย ปรับแนวทางเพื่อแก้ไข ปัญหาหนี้ กยศ. หนี้ครู หนี้ข้าราชการ-รัฐวิสาหกิจ หนี้ตำรวจ ให้ได้ภายในสิ้นปีนี้

เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันของหนี้สินครู อยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง โดยครูมากกว่าครึ่งหนึ่ง มีเงินเดือนเหลือเพื่อดำรงชีพหลังจ่ายหนี้รายเดือนแล้วไม่ถึง 30% ของเงินเดือน

สาเหตุเพราะครู และข้าราชการเป็นอาชีพที่เจ้าหนี้พร้อมที่จะให้กู้ ขณะที่ไม่มีระบบการควบคุมตรวจสอบที่เหมาะสม เช่น หนี้ของสหกรณ์ไม่ได้เข้าในระบบของเครดิตบูโร ทำให้ครูและข้าราชการกู้เงินได้มากกว่าที่ควรจะเป็นมาก และต้องผ่อนส่งหนี้ต่อเนื่องแม้เกษียณอายุราชการแล้ว โดยพบว่า ครูที่อายุมากที่สุดที่ยังมีหนี้ที่ต้องผ่อนส่งคือ 103 ปี

ช่วงที่ผ่านมา กยศ.ได้ออกแนวทางปรับเงื่อนไขผ่อนส่งใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งปรับโครงสร้างหนี้แบบใหม่ ซึ่งจะช่วยลูกหนี้ที่มีมากถึง 3.6 ล้านบัญชี และผู้ค้ำ 2.8 ล้านบัญชี ขณะที่หนี้ครูและข้าราชการอีก 2.8 ล้านล้านบัญชี อยู่ระหว่างออกแนวทางการผ่อนส่งและปรับโครงสร้างหนี้ให้ชัดเจน และเหมาะสมขึ้น

และในปีหน้า ธปท.จะร่วมมือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หาแนวทางแก้หนี้เกษตรกร ซึ่งเป็นอีกปัญหาหนี้สินหลัก ที่กระทบคนจำนวนมากของประเทศ.

ทีมเศรษฐกิจ


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ