
ประธาน JFCCT ตอกย้ำรัฐบาล เร่งฉีดวัคซีนให้นักธุรกิจ-นักลงทุนต่างชาติและครอบครัว เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ชี้ภายในเดือน มิ.ย.-ก.ค.นี้ ประธานหอการค้าประเทศต่างๆ ต้องได้ฉีดให้ครบทุกประเทศ พร้อมเร่งฉีดให้แรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมด้วย หวั่นติดหนัก ต้องปิดโรงงาน กระทบส่งออก
นายสแตนลีย์ คัง ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (JFCCT) เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบ 3 ซึ่งสถานการณ์รุนแรงขึ้นต่อเนื่อง มีการระบาดออกไปในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ที่สำคัญระบาดเข้าไปในโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง บางแห่งก็เป็นของนักลงทุนต่างชาติ เช่น ที่จังหวัดเพชรบุรี พนักงานติดโควิด-19 ไปแล้วหลายพันคน จึงต้องการให้รัฐบาลเร่งกระจายการฉีดวัคซีนให้กับแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เพราะถ้ามีพนักงานติดเชื้อจำนวนมาก โรงงานก็ต้องปิดการผลิตระยะหนึ่ง อาจกระทบต่อการส่งออก และรายได้ที่จะเข้าประเทศ
เร่งฉีดวัคซีนให้นักลงทุนต่างชาติ
ขณะเดียวกัน ต้องการให้รัฐบาลฉีดวัคซีนให้คนต่างชาติในไทยด้วย และฉีดให้เร็วที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ ที่สำคัญทุกคนมีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน มีความเท่าเทียมกัน เหมือนกับที่รัฐบาลประเทศต่างๆ ดูแลคนไทย และฉีดวัคซีนให้คนไทยในต่างประเทศ เหมือนเป็นประชาชนของประเทศนั้นๆเอง อีกทั้งคนต่างชาติ หรือนักลงทุนต่างชาติที่ทำธุรกิจในประเทศไทย เสียภาษีให้กับประเทศไทยเหมือนกัน
ทั้งนี้ ตอนที่มีการระบาดรอบแรก ประเทศอื่นหนัก แต่ไทยป้องกันการระบาดได้ดี ต่างชาติมั่นใจว่าอยู่ไทยแล้วปลอดภัย แต่พอมามีระบาดรอบ 3 รัฐบาลไทยต้องดูแลนักลงทุนเหล่านี้ด้วย เพื่อให้เขารู้สึกว่ารัฐบาลไทยไม่ทิ้งเขา โดยใน 2 เดือนนี้ คือ เดือน มิ.ย. และเดือน ก.ค. รัฐบาลต้องพยายามหาวัคซีนมาฉีดให้คนต่างชาติ อย่าทิ้งพวกเขา ทุกคนที่ลงทุนที่ไทยเสียภาษีหมด เอาเงินที่เขาเสียภาษีมาซื้อวัคซีน ทำให้ทุกคนมั่นใจในรัฐบาลไทย
“รัฐบาลดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้าไทย JFCCT ก็ช่วยเชิญชวนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนด้วย เมื่อคนกลุ่มนี้เข้ามาแล้ว รัฐบาลก็ต้องฉีดวัคซีนให้เขา และครอบครัว ไม่ใช่อยากดึงดูด FDI (เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ) แต่กลับฉีดวัคซีนอยู่คิวหลังๆ ทั้งๆที่นักลงทุนต่างชาติ จำเป็นต้องฉีดมาก เพราะต้องเดินทางไปต่างประเทศ ต้องเปลี่ยนผู้บริหาร อยากฝากให้รัฐบาลดูแลนักลงทุนต่างประเทศ และครอบครัวด้วย เพื่อให้ชีวิตกลับมาปกติ”
ล่าสุด ทราบว่า ขณะนี้นักธุรกิจ นักลงทุนต่างชาติในไทยได้ฉีดวัคซีนน้อยมาก ตนก็ยังไม่ได้ฉีด ไม่กล้าใช้ Connection (ความสัมพันธ์) ส่วนตัวเพื่อให้ได้ฉีดก่อน ต้องการฉีดพร้อมกับสมาชิก อย่างน้อยกลางเดือน หรือก่อนสิ้นเดือน มิ.ย.นี้ ประธานหอการค้าประเทศต่างๆในไทยต้องได้ฉีดหมดแล้ว ล่าสุด สัปดาห์นี้รัฐบาลไทยเปิดให้ชาวต่างชาติลงทะเบียนผ่านแพลตฟอร์มต่างๆเหมือนคนไทย เช่น หมอพร้อม ที่ต้องการให้ทำเป็นภาษาอังกฤษด้วย ไม่เช่นนั้นจะลงทะเบียนยาก หรืออาจไม่ได้ลงทะเบียน
สร้างเชื่อมั่นสินค้าไทยปลอดเชื้อ
นอกจากนี้ ยังต้องการให้รัฐบาลร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชน อำนวยความสะดวกในการลงทะเบียน และฉีดวัคซีนให้ด้วย เพราะนักธุรกิจต่างชาติจะมีโรงพยาบาลที่ไปใช้บริการเป็นประจำอยู่แล้ว ยิ่งฉีดเร็วเท่าไร ยิ่งดีเพื่อสร้างความมั่นใจให้นักธุรกิจยังอยู่ในประเทศไทย ไม่ทิ้งไปไหน
ขณะนี้ ตลาดส่งออกสินค้าของไทย ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป จีน เริ่มฟื้นกลับมาแล้วหลังการฉีดวัคซีน ตลาดเหล่านี้ เป็นตลาดใหญ่ของไทย ซื้อของมาก และเริ่มมีคำสั่งซื้อสินค้าไทยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แล้ว JFCCT ได้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าต่างประเทศว่า แม้โรงงานหลายแห่งมีพนักงานติดโควิด-19 แต่โรงงานมีการป้องกันและแก้ปัญหาการแพร่ระบาดตามมาตรฐานสาธารณสุข มีการปิดสายการผลิตบางส่วน เพื่อฆ่าเชื้อโรค แต่ในสายการผลิตที่ไม่มีพนักงานติดโรค ก็ยังเดินเครื่องตามปกติ ยืนยันว่า สินค้าที่ส่งออกจากไทยไม่ปนเปื้อนโควิด-19 แน่นอน
“เราพยายามบอกว่า แม้ไทยมีระบาดรอบ 3 แต่ไม่ต้องห่วง รัฐบาลไทยแก้ปัญหาได้ และพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง แม้มีติดโควิด ก็ไม่ต้องห่วง ที่ผ่านมาเจ้าของโรงงานหลายแห่งโทรศัพท์มาถามว่า ลูกน้องจะได้ฉีดวัคซีนเมื่อไร เราก็บอกว่าใจเย็นๆ เดือน มิ.ย. มีแอสตราเซเนกาเข้ามาแล้ว ได้ฉีดแน่นอน แต่ระหว่างนี้โรงงานต้องป้องกันให้ดี ต้องมี Social Distance อย่ากินข้าวร่วมกัน”.
ที่สำคัญ JFCCT ยังช่วยประชาสัมพันธ์ให้พนักงานในโรงงาน และบริษัทสมาชิกให้ฉีดวัคซีนด้วย เพราะยังกล้าๆกลัวๆอยู่ เชื่อมั่นว่า วัคซีนไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง ขณะนี้ มีวัคซีนยี่ห้ออะไรมา ก็ต้องรีบฉีดก่อน หากต้องการฉีดยี่ห้ออื่น ก็ให้รอปีหน้า ซึ่งเป็นช่วงที่ทั้งโลกฉีดวัคซีนกันมากแล้ว และผู้ผลิตมีวัคซีนเหลือ และซื้อได้ง่ายขึ้น
แนะธุรกิจปรับตัวรับยุคหลังโควิด
นายสแตนลีย์ กล่าวว่า มั่นใจว่าวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ ประเทศไทยจะผ่านไปได้ และการแพร่ระบาดรอบ 3 จะต้องจบภายใน 2 เดือน คือ ในเดือน ก.ค.นี้ ส่วนเดือน ส.ค.-ก.ย. น่าจะฉีดวัคซีนได้มากแล้ว เท่าที่ทราบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บอกว่า ใน 2 เดือนนี้จะฉีดให้เร็วที่สุด และจะทำให้อันดับการฉีดวัคซีนของไทย ขึ้นมาอยู่ที่ 2 ของอาเซียน จากปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 5
“ในระหว่างนี้ ก่อนที่ไทยจะพร้อมเปิดประเทศ จำเป็นที่ภาคธุรกิจไทยต้องปรับตัวให้พร้อมรองรับโลกยุคหลังโควิด-19 ที่เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยต้องทำธุรกิจที่เน้นใช้เทคโนโลยี และมุ่งไปสู่ธุรกิจ BCG (เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว) ที่เน้นรักษาสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น ถ้าไทยยังทำธุรกิจแบบเดิม ไม่ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขัน หรือไม่พัฒนานวัตกรรมการผลิต ก็จะตามโลกไม่ทัน เศรษฐกิจจะไม่เติบโตอย่างยั่งยืน”.