
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในธุรกิจการขนส่งสินค้าทางทะเล โดยมีแนวทางดังนี้คือ 1.ให้ท่าเรือ กรุงเทพปรับลดค่าภาระตู้สินค้าเปล่าขาเข้าผ่านท่าเรือกรุงเทพในอัตรา 1,000 บาทต่อทีอียู เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือน ม.ค.-มี.ค.64 รวมค่าใช้จ่าย 5.28 ล้านบาท 2.ให้ท่าเรือแหลมฉบังชดเชยค่ายกขนตู้สินค้าให้แก่เอกชน ผู้ประกอบการนำเข้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยจ่ายส่วนลดคืนในอัตรา 1,000 บาทต่อทีอียู เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือน ม.ค.-มี.ค.64 รวมค่าใช้จ่าย 384 ล้านบาท รวม 2 รายการเป็นเงินทั้งสิ้น 389.28 ล้านบาท โดย ครม. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินการและประโยชน์ที่ผู้ประกอบการส่งออกรายย่อยได้รับ รวมทั้งให้หาข้อยุติเกี่ยวกับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการดำเนินการ
แนวทางดังกล่าวเป็นการแก้ปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์เปล่า และอัตราค่าระวางเรือที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสที่ 3-4 ปี 63 ส่งผลกระทบให้ผู้ส่งออกที่ต้องการใช้ตู้คอนเทนเนอร์ ต้องจ่ายเงินค่าระวางสูงกว่าปกติด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากการสำรวจเอฟทีไอ โพลประจำเดือน มี.ค.หัวข้อ “ความเห็นต่อการบริหารจัดการวัคซีน โควิด-19 และการฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว” ว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท.ที่ตอบแบบสอบถาม 79.6% ยังกังวลต่อการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ที่ยังมีความล่าช้าและไม่เพียงพอ หากภาครัฐฉีดวัคซีนล่าช้าจะส่งผลอย่างมากต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยระบุว่า รัฐบาลควรเร่งจัดซื้อและอนุญาตนำเข้าวัคซีนให้เพียงพอ เปิดให้โรงพยาบาลเอกชนนำเข้าวัคซีนที่ได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)มาให้บริการแก่ประชาชนได้ โดยภาครัฐออกมาตรการส่งเสริมให้เอกชนสั่งซื้อวัคซีนมาฉีดให้แก่แรงงานเอง เช่น การนำค่าวัคซีนไปหักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า, การสนับสนุนค่าใช้จ่าย 50% ให้แก่สถานประกอบการ เป็นต้น.