
เอไอเอสเตือนภัยประชาชนอย่าหลงเชื่ออาชญากรหลอกให้ใช้บัตรประชาชนซื้อโทรศัพท์มือถือ แล้วนำไปขายต่อ เสี่ยงโดนข้อหาฉ้อโกงต้องรับโทษขั้นสูงสุด รวมถึงมีชื่อติดแบล็กลิสต์ในระบบ ส่งผลให้ในอนาคตจะมีปัญหาในการทำธุรกรรมกับค่ายมือถือ ในขณะที่ผู้ซื้อเครื่องต่อยังเข้าข่ายรับซื้อของโจรด้วย
จากสถานการณ์ปัจจุบัน มีขบวนการมิจฉาชีพหลอกนำข้อมูลบัตรประชาชน หรือข้อมูลส่วนตัวของ บุคคลอื่นนำไปกระทำผิดในกรณีต่างๆ เช่น นำบัตรประชาชนของเหยื่อไปเปิดบัญชีธนาคาร รับโอนเงินต้มตุ๋นบุคคลอื่น หรือแม้กระทั่งอุตสาหกรรมโทรคมนาคม เกิดเหตุคล้ายคลึงกัน ล่าสุดพบขบวนการคนร้าย นำข้อมูลบัตรประชาชนของผู้อื่นเข้าไปซื้อโทรศัพท์ราคาพิเศษจากค่ายมือถือ ในเงื่อนไขจะต้องเปิดเบอร์และใช้งานกับเครื่องที่ซื้อมา พร้อมชำระเงินต่อเนื่องตามระยะเวลาที่กำหนด แต่เหยื่อกลับเอาเครื่องไปให้คนร้ายขายต่อแลกกับค่าตอบแทน โดยไม่ชำระค่าบริการ ท้ายที่สุดคนร้ายปล่อยให้เหยื่อถูกฟ้องร้องจากบริษัทค่ายมือถือ เพราะผิดเงื่อนไขตามสัญญา อีกทั้งผู้ที่ซื้อเครื่องต่อจากคนร้าย เสี่ยงเข้าข่ายรับซื้อของโจรด้วย
ล่าสุด ฝ่ายประชาสัมพันธ์ เอไอเอส เตือนภัยประชาชนรู้ทันกลโกงมิจฉาชีพ โดยเมื่อวันที่ 23 พ.ย. นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ปัจจุบันมีการเกิดขึ้นของอาชญากรรมประเภทนี้เป็นจำนวนมาก พบว่ามีทั้งกลุ่มที่โดนหลอกลวง และกลุ่มที่จงใจใช้บัตรประชาชนซื้อเครื่องโทรศัพท์มือถือพร้อมแพ็กเกจ จากนั้นนำเครื่องโทรศัพท์ไปแยกขายต่อ โดยไม่ชำระค่าบริการตามเงื่อนไขในสัญญา บริษัท กังวลถึงผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้นในภาพรวม และอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นปริมาณของประชาชนที่ถูกดำเนินคดีฉ้อโกงที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความเสี่ยงของผู้ที่ซื้อเครื่องต่อโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ที่อาจจะเข้าข่ายรับซื้อของโจรด้วย
หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์เอไอเอสกล่าวต่อว่า อยากขอแจ้งเตือนผู้ที่อาจหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อของการกระทำ หรือจงใจกระทำการดังกล่าวข้างต้นว่า การก่อเหตุในลักษณะนี้ เจ้าของบัตรประชาชนที่ทำสัญญาซื้อเครื่องโทรศัพท์พร้อมแพ็กเกจจะมีความผิด มีบทลงโทษฐานฉ้อโกง มาตรา 341 โทษ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมไปถึงการมีชื่อติดแบล็กลิสต์ในระบบ ส่งผลให้ในอนาคตจะมีปัญหาในการทำธุรกรรม กับค่ายมือถือ ปัจจุบันมีระบบตรวจสอบอย่างเข้มข้น อีกทั้งในส่วนของผู้ที่รับซื้อเครื่องต่อไป จะเข้าข่ายความผิดฐานรับของโจร มาตรา 357 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
“ทั้งนี้ในส่วนของบริษัทจำเป็นต้องดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นสูงสุดกับผู้กระทำผิดทุกราย โดยไม่มีข้อยกเว้น ขอเน้นย้ำไปยังทุกท่านว่า อย่าหลงเชื่อ และใช้ข้อมูลส่วนบุคคลไปดำเนินการอย่างไม่ถูกต้อง อีกทั้งท่านที่จะซื้อโทรศัพท์มือถือ ขอให้ตรวจสอบแหล่งที่มาให้ดี เพราะอาจมีความเสี่ยงทั้งคุณภาพของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีการรับประกันและผิดกฎหมายอีกด้วย” นางสายชลกล่าวย้ำ