ไขปริศนาราคายางพุ่งกระฉูด มีลุ้น กก.ละ 100 บาท

ช่วงนี้ราคายางกำลังขาขึ้น ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาได้พุ่งทะลุทุกเพดาน โดยสูงกว่ากิโลกรัม (กก.) ละ 80 บาท ถือเป็นข่าวดีของชาวสวนยางพาราในรอบหลายปีที่ราคาได้กลับมายืนเด่นเหนือต้นทุนและมีกำไรให้ชาวสวนยาง แถมยังมีความหวังว่าในอีกไม่นาน ราคาอาจจะพุ่งสูงขึ้นไปถึง กก.ละ 100 บาท จนทำให้ลืมกันไปได้เลยกับคำปรามาสราคายางก่อนหน้านี้ที่ว่า “3 โลร้อย”

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าราคายางในช่วงนี้จะขึ้นสูง แต่รัฐบาลก็ไม่สามารถกล่าวอ้างได้เต็มปากว่าเป็นผลงาน เพราะข้อเท็จจริงมาจากสภาพแวดล้อมรอบโลกที่เอื้ออำนวยให้ราคายางปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

การที่ราคายางได้ปรับตัวขึ้นสูงในช่วงนี้ มีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร เหตุปัจจัยจากไหน ทำไมอยู่ดีๆ เพียงเวลาไม่กี่สัปดาห์ราคายางจึงพุ่งสูงเช่นนี้ ต่อจากนี้คือคำตอบของเรื่องราวเหล่านี้...

นับตั้งแต่ที่ปีนี้ได้มีการระบาดของโรคโควิด-19 ไปทั่วโลกเป็นต้นมา ได้ทำให้ความต้องการใช้เครื่องมือแพทย์ โดยเฉพาะถุงมือยาง มีเพิ่มสูงมากในทั่วโลก ยิ่งการระบาดยังไม่มีทีท่า จะสิ้นสุดลง ส่งผลให้ความต้องการใช้ถุงมือยางจึงสูงอย่างต่อเนื่อง

“ผลิตภัณฑ์ถุงมือยาง” ตัวนี้ต้องใช้น้ำยางพาราดิบเป็นวัตถุดิบจากในการผลิต สิ่งนี้คือ เหตุผลหลักทำให้ราคายางพาราสูงขึ้น ขณะเดียวกันในสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็มีนโยบายสนับสนุนประชาชนใช้รถยนต์ขนาดเล็กเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว และการใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น 63% ทำให้การผลิตยางรถยนต์เพื่อใช้ในจีนเพิ่มขึ้นจากปกติถึง 3 เท่า นอกจากนั้น ในประเทศผู้ผลิตยางพารา ไม่ว่าจะเป็นจีนตอนใต้ เวียดนาม เกิดฝนตกหนัก และน้ำท่วม แม้กระทั่งในประเทศไทยเองก็กำลังมีฝนตก ส่งผลให้ผลผลิตในไทยและทั่วโลกลดลง

เป็นหลักทางการค้าทั่วไป เมื่อความต้องการใช้มีมาก แต่ผลผลิตลดลง ราคาสินค้าย่อมสูงขึ้น อีกทั้งเมื่อความต้องการใช้ยางพาราในตลาดโลกมีสูงขึ้น ได้เกิดการไล่ซื้อของผู้ประกอบการจากจีน ที่ต้องการน้ำยางพาราไปผลิตยางรถยนต์และถุงมือยาง ราคายางจึงพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ณ วันที่ 30 ต.ค.2563 ที่ตลาดกลางยางพารา จ.สุราษฎร์ธานี ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 แตะระดับสูงสุดที่ 81 บาทต่อ กก. ขณะที่ราคาประมูล ณ ตลาดกลางยางพารา จ.สงขลา ยางแผ่นดิบ 73.55 บาท ต่อ กก. ยางแผ่นรมควันชั้น 3 อยู่ที่ 80.01 บาทต่อ กก. ขณะที่ราคาท้องถิ่น ยางแผ่นดิบ 71.45 บาทต่อ กก. น้ำยางสด ณ โรงงาน 74.50 บาทต่อ กก. และราคายางพาราส่งมอบ ณ ท่าเรือกรุงเทพอยู่ที่ 84.55 บาทต่อ กก. ทุกราคาทะลุแนวต้านสูงสุดในรอบ 3 ปี 8 เดือน

นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ให้ความหวังไว้ว่า แนวต้านต่อไปราคายางพาราจะขึ้นไปทดสอบได้คือที่ราคา 90-100 บาทต่อ กก. และราคาระดับนี้ปรับสูงกว่าราคาประกันรายได้ชาวสวนยางที่รัฐบาลมอบให้ชาวสวนยางทุกชนิดของผลผลิต ร่วม 20-30% จากราคาประกันยางแผ่นคุณภาพดี 60 บาทต่อ กก. ราคาประกันน้ำยาง สด 57 บาทต่อ กก. และยางก้อนถ้วย 23 บาทต่อ กก.

“ในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาด 441,000 ตัน แต่มีความต้องการใช้สูงกว่าผลผลิตอยู่ประมาณ 50,000 กว่าตัน จึงเกิดปัญหายางพาราไม่เพียงพอกับการส่งออก การไล่ซื้อจึงเกิดขึ้น ทำให้ราคาสูงขึ้นต่อเนื่อง”

อย่างไรก็ตาม ราคายางพาราที่สูงขึ้นอาจจะไม่ใช่โชคดีของชาวสวนยางทั้งหมด เพราะช่วงนี้ฝนตก น้ำยางที่ได้จากการกรีดก็น้อยลงตาม ชาวสวนยางไม่ได้มีผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วย ประกอบกับเล่ห์กลของคนเป็นพ่อค้าอาจฉวยบางจังหวะทุบราคา ฉะนั้น ในสัปดาห์นี้ นายประพันธ์ บุณยเกียรติ ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จึงสั่งการให้ กยท.เชิญ 5 เสือ ผู้ส่งออกยางพารา และผู้ส่งออกรายเล็ก รายกลาง มาหารือ ไม่ให้กดราคายางพาราลง

ส่วนความเคลื่อนไหวจากฟากฝั่งรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ยังเดินหน้าโครงการประกันรายได้ชาวสวนยาง ในปีที่ 2 ต่อเนื่องในราคาประกันเท่ากับปีที่ผ่านมา และอาจจะนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ที่ จ.ภูเก็ต วันที่ 3 พ.ย.นี้ ภายใต้เหตุผลว่า “ถ้าถึงเวลาหนึ่งเกิดราคาตกลงมารัฐบาลก็ยังมีนโยบายประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางที่จะเป็นตัวช่วยประกันรายได้ว่าอย่างน้อย ยางแผ่นดิบก็จะมีราคาไม่ต่ำกว่า กก.ละ 60 บาท”

รัฐบาลอาจจะประกันราคาต่ำสุดได้ แต่ราคาที่สูงขึ้นนี้ ดังที่เกริ่นไว้ตั้งแต่แรก ว่า ไม่ใช่ผลจากการทำงานของรัฐบาล.

อมรรัตน์ จรูญสมิทธิ์