"สุริยะ" นำภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ New Normal

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

"สุริยะ" นำภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ New Normal

Date Time: 20 ก.ค. 2563 05:01 น.

Summary

พรรคพลังประชารัฐมอบอำนาจให้นายกรัฐมนตรี เป็นผู้คัดเลือกทีมเศรษฐกิจ ซึ่งคงไม่ง่ายนักที่จะหาคนที่เหมาะสมและยอมเข้ามาช่วยกันทำงาน ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบัน

Latest

สาละวันเตี้ยลง

ท่ามกลางกระแสการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่กำลังยึดพื้นที่ข่าวหัวยักษ์หน้าปกหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ “ทีมข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ผู้ซึ่งมีรายชื่ออยู่ในบัญชีที่อาจถูกปรับเปลี่ยน โยกย้ายในครั้งนี้

เขาเล่าว่า พรรคพลังประชารัฐมอบอำนาจให้นายกรัฐมนตรี เป็นผู้คัดเลือกทีมเศรษฐกิจ ซึ่งคงไม่ง่ายนักที่จะหาคนที่เหมาะสมและยอมเข้ามาช่วยกันทำงาน ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบัน อันซึ่ง ธนาคารโลก (World Bank) ได้ประเมินว่า ไทยจะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจหนักที่สุดในภูมิภาคอาเซียน กรณีดีที่สุด ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะหดตัว -3% กรณีเลวร้ายที่สุด อาจหดตัวถึง -5%

“คนที่จะเข้ามา ต้องเผชิญหน้าความจริงในข้อนี้ นอกจากต้องให้การเมืองยอมรับแล้ว ยังต้องได้รับการยอมรับจากนักลงทุน นักธุรกิจ ตลาดหุ้น เพราะความเชื่อมั่นเป็นเรื่องสำคัญมาก”

แต่เมื่อถูกวกถามถึงตัวเอง สุริยะ ตอบเบาๆตามสไตล์ว่า “ส่วนตัวผมอยู่ที่ไหนก็ได้ แล้วแต่นายกรัฐมนตรีจะมอบหมาย”

จบจากการเมืองเรื่องเครียดๆ “ทีมเศรษฐกิจ” ปรับโหมดเข้าสู่ประเด็นเศรษฐกิจ ปากท้องการลงทุนซึ่งเครียดไม่แพ้กัน หลังมหาวิกฤติโควิด–19 ที่ระบาดทั่วโลกมาตั้งแต่ต้นปี ยังไม่มี ทีท่าว่าจะ เงียบ หายไปง่ายๆนัยสำคัญก็คือ ประเทศไทย โดยเฉพาะ ระบบเศรษฐกิจ เคยกินบุญเก่าด้วยการพึ่งพิงรายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก เฉลี่ยในแต่ละปี รายได้จากการส่งออกคิดเป็น 50-60% ของจีดีพี และจากการท่องเที่ยว 10-15% เมื่อรวมกันแล้ว คิดเป็นเฉลี่ย 60-75%ของจีดีพี จากมูลค่ารวมจีดีพีปีละ 16-17 ล้านล้านบาท

เมื่อเครื่องยนต์หลักที่ใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งการส่งออกและท่องเที่ยว ถูกดับกะทันหันเพราะโควิดพ่นพิษ จึงกระทบชิ่งต่อเป็นลูกโซ่ ไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ทั้งธุรกิจผลิตวัตถุดิบในห่วงโซ่การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ไปจนถึงเอสเอ็มอี ลุกลามไปยังห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงนวด ร้านอาหาร ลานเบียร์ ฯลฯ ส่งผลให้ภาคธุรกิจทั้งใหญ่-เล็ก ต้องทยอยปิดกิจการ นำไปสู่การปลดพนักงาน ที่คาดว่าปีนี้จะมีคนตกงานไม่ต่ำกว่า 8 ล้านคน

...จากนี้ไป...โครงสร้างเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ที่บอบช้ำจากการประกาศล็อกดาวน์ประเทศ จากความไม่เชื่อมั่นที่ทำให้คนลดการใช้จ่าย และจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่หยุดชะงัก จะเดินหน้าฟื้นฟูต่อไปกันอย่างไร “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” มีคำถามต่องานที่เขารับผิดชอบ ดังนี้

ล้มกระดานโมเดลลงทุนใหม่

สุริยะ เปิดฉากบทสนทนาว่า โควิด-19 ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกๆมิติของโลก การระบาดที่รุนแรงและยังไม่คลี่คลาย ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจของโลก ที่อยู่ในภาวะทรุดโทรมอยู่แล้ว ถลำลึกลงสู่ “มหาวิกฤติเศรษฐกิจ” จนนำไปสู่ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ที่เป็นโจทย์ข้อใหญ่ของกระทรวงอุตสาหกรรม ในการหามาตรการรับมือ เพื่อให้คนไทยก้าวสู่ชีวิตวิถีใหม่ได้อย่างเข้มแข็ง

“จากนี้ไป โมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจ ด้วยการดึงดูดการลงทุนที่ไม่เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศแบบลงลึก ลงทุนเพื่อการจ้างงานแรงงานพื้นฐานเพียงอย่างเดียวเช่นในอดีตที่ผ่านมา จะไม่สามารถใช้ได้แล้ว”

จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่สามารถพัฒนาตัวเองไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูงได้ เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ ยังรับจ้างผลิตสินค้า โดยนำเข้าชิ้นส่วน เครื่องจักรกล และเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

การไม่ได้เป็นเจ้าของเทคโนโลยี ไม่มีการถ่ายทอดองค์ความรู้จากต่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและเพิ่มมูลค่าสินค้า สร้างรายได้ให้กับภาคการส่งออกที่เป็นฟันเฟืองหลักในการหารายได้เข้าประเทศ เคียงคู่กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

“ผมประเมินว่าโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อโลกยาวนานไปอีก 2-3 ปี ซึ่งเป็นวิกฤติที่ทั่วโลกได้รับผลกระทบร่วมกันแบบสาหัสที่สุด เพราะโลกเราไม่ได้มีการวางแผนรับมือโควิด-19 และไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าจะยุติเมื่อใด”

ดังนั้น เมื่อถูกถามถึงยุทธศาสตร์การฟื้นฟูอุตสาหกรรมไทยต่อจากนี้ สุริยะ ตอบทันทีว่า ยังไม่สายเกินไป หากประเทศไทยจะหันกลับมาสร้างขีดความสามารถที่แท้จริง จากจุดแข็งภายใน ประเทศ

“เราจึงเริ่มเห็นหลายๆ ประเทศ รวมทั้งมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ที่เคยผลักดันการค้าเสรีและการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนต่ำ เริ่มออกมาตรการย้อนศรในการดึงดูดธุรกิจ ให้กลับมาลงทุนในประเทศตนเอง ไม่เว้นแม้แต่สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นประเด็นใหม่ที่ท้าทายประเทศที่ต้องการดึงดูดการลงทุนอย่างเรา”

ยึดบัลลังก์รักษาฐานยานยนต์

เป้าหมายการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมของไทย คือการเดินออกจาก Old Normal หรือวิถีชีวิตแบบเก่า ภาคอุตสาหกรรมที่เน้นใช้แรงงานจำนวนมาก ที่ไม่มีการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและเพิ่มมูลค่า โดยมุ่งหน้าสู่วิถีชีวิตใหม่หรือ New Normal ก้าวไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคตในสาขาอุตสาหกรรมหลักของภาคเศรษฐกิจ ที่ไทยมีความเข้มแข็ง ประกอบด้วย

1.การยกระดับการผลิตในระบบอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมชีวภาพ จากระบบเกษตรกรรมไปสู่ระบบเกษตรอุตสาหกรรม เพิ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใส่ในกระบวนการผลิต

2.การพัฒนาอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ไปสู่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ประยุกต์ไปสู่การผลิตอุปกรณ์ IoT (Internet of Thing) หรืออินเตอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่ง สำหรับระบบเกษตรอุตสาหกรรม รองรับการเก็บข้อมูลขนาดใหญ่แบบบิ๊กดาต้า

3.การฟื้นฟูอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการรักษาฐานการผลิตที่มีอยู่ในประเทศ การไม่ยืนหยุดนิ่งแต่เดินก้าวไปกับโลกสู่การผลิตยานยนต์สมัยใหม่แห่งอนาคต ไม่ให้การลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ไปเกิดในประเทศอื่นแทนประเทศไทย

4.การปรับกลุ่มเป้าหมายอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จากการท่องเที่ยวเชิงปริมาณไปสู่การท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพ อนามัย และการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเหมาะสม โดยสาขาอุตสาหกรรมเหล่านี้จะเป็นหัวใจหลักของกลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ (New Growth Engines) ที่จะเข้ามาเป็นแหล่งรายได้ที่ยั่งยืนของประเทศไทยในยุคต่อไป

ขณะเดียวกันจะเน้นการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อาทิ หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อุปกรณ์ทางการแพทย์สมัยใหม่ รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ไบโอชีวภาพ ฯลฯ ที่ต้องมีมาตรการส่งเสริมและมีสิทธิประโยชน์การลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่เหมาะสม เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนทั้งของต่างชาติและนักลงทุนไทย โดยต้องเพิ่มความสำคัญเพื่อให้เกิดธุรกิจต่อเนื่องในประเทศ

รักษาแรงงานเอสเอ็มอี 24 ล้านคน

แผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ยังต้องพุ่งเป้าไปที่การให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนให้มากกว่าที่ผ่านมา คือการกระจายรายได้และความเจริญที่ทุกชุมชน จะต้องมีส่วนร่วมในการกินดีอยู่ดีจากพัฒนาการทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และการประกอบอุตสาหกรรมจะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับชุมชนโดยรอบ

เมื่อสามารถตัดสินใจเลือกทิศทางพัฒนาประเทศได้แล้ว ต้องรีบดำเนินมาตรการเร่งด่วนอีกเรื่องหนึ่ง คือการประคับประคองภาคธุรกิจและการจ้างงานไม่ให้ล้ม เพราะหากภาคธุรกิจโดยเฉพาะเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นแก่นกลางของภาคเศรษฐกิจที่มีเป็นจำนวนมาก สามารถประคับประคองตัวและรักษาการจ้างงานไว้ได้มากเท่าไร การฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงหลังวิกฤติโควิด–19 ก็จะเป็นไปได้รวดเร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น

ขณะนี้ประเทศไทยมีเอสเอ็มอีรวม 3 ล้านกิจการ มีการจ้างงาน 24 ล้านคน กระทรวงอุตสาหกรรมได้ กำหนดมาตรการฟื้นฟูอุตสาหกรรมดีพร้อมทันที ภายในระยะ 90 วันแรกของการเข้าร่วมโครงการ ที่ได้ทยอยเริ่มดำเนินการระหว่าง เดือน พ.ค.-ก.ย. เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีและการจ้างงานใน 4 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 ผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมและเอสเอ็มอี เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีประชาชนเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก การประคองไม่ให้ธุรกิจกลุ่มนี้ล้มหรือปิดกิจการ จะช่วยป้องกันการเกิดปัญหาสังคมและการว่างงาน กลุ่มนี้ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษในด้านสภาพคล่อง และการปรับรูปแบบธุรกิจให้อยู่ต่อไปได้ ในช่วงเกิดวิกฤติและยั่งยืนได้หลังวิกฤติ ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ ทั้งในการประกอบการและการเข้าสู่ตลาด

ปั้นชุมชนปั่นเศรษฐกิจภายใน

ในด้านการเสริมสภาพคล่องให้กับภาคอุตสาหกรรมผ่านมาตรการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของแต่ละสถาบันการเงิน ทั้งการลดดอกเบี้ย การขยายเวลาในการผ่อนชำระในระยะเวลา 6 เดือนก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ และต้องพิจารณาขยายระยะเวลาของมาตรการดูแลด้านการเงินให้ยาวออกไปอีก 2 ปี โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดว่าเศรษฐกิจทั้งโลกจะตกต่ำที่สุดในรอบ 100 ปี ที่อาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น

สถาบันการเงินอาจจำเป็นต้องขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระเพิ่มเติม เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมมีโอกาสฟื้นตัว ซึ่งการยืดหนี้ที่เป็นสินเชื่อเดิมให้ลูกหนี้มีแรงเดินไปต่อ คงไม่ถึงกับทำให้สถาบันการเงินล้มเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

“ในภาวะเช่นนี้ หากลูกหนี้รอด คุณก็รอดด้วย”

กลุ่มที่ 2 คือ ประชาชน แรงงาน และบัณฑิตจบใหม่ ที่ขาดรายได้ เพราะโควิด-19 ทำให้ธุรกิจต้องหยุดหรือลดการจ้างงาน ส่งผลให้เกิดการว่างงานและการเคลื่อนย้ายของประชาชนกลับสู่ภูมิลำเนา

การส่งเสริมให้บัณฑิตจบใหม่และกลุ่มประชาชนที่กลับสู่ภูมิลำเนา สามารถสร้างธุรกิจของตัวเองที่มีรายได้อย่างเพียงพอจึงเป็นมาตรการที่จำเป็น ซึ่งรวมถึงการปรับ–เพิ่ม–สร้างทักษะใหม่ (Reskill–Upskill–Newskill) สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพอิสระ นำมิติของเศรษฐกิจสร้างสรรค์มาประยุกต์เป็นธุรกิจ เพื่อเป็นทางเลือกในการหาเลี้ยงครอบครัว รองรับแรงงานที่อพยพกลับท้องถิ่นและชุมชน

กลุ่มที่ 3 ชุมชนและวิสาหกิจชุมชน (โอทอป) เพราะก่อนเกิดวิกฤติครั้งนี้ หลายชุมชนทั่วประเทศสามารถเริ่มสร้างสรรค์อัตลักษณ์และสร้างธุรกิจการท่องเที่ยวจนเกิดเป็นรายได้ในระดับหนึ่ง แต่ด้วยความซบเซา ของการท่องเที่ยวทั่วโลก จากวิกฤติที่เกิดขึ้นนี้ ประกอบกับการกลับเข้าสู่ชุมชนของสมาชิกที่ตกงาน ทำให้แต่ละชุมชนต้องเตรียมความพร้อมในการรองรับคนและปรับจุดยืน (Positioning) ของชุมชนในการหารายได้

ด้วยการยกระดับการผลิตสินค้าของชุมชน นำเทคโนโลยีเครื่องจักรและนวัตกรรมมาเสริมศักยภาพการประกอบการของชุมชนท้องถิ่น กระตุ้นความน่าสนใจ เพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวมายังชุมชน สร้างและพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์ การส่งสินค้า พัฒนาทักษะให้กับวิสาหกิจชุมชน ผนวกเข้ากับแนวคิดจากนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างชุมชนให้มีความเข้มแข็ง

กลุ่มที่ 4 กลุ่มธุรกิจแปรรูปเกษตรและเกษตรอุตสาหกรรมที่จะมีการปฏิรูปภาคการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับเกษตรกรรม ไปสู่ธุรกิจทางการเกษตรหรืออุตสาหกรรมการเกษตร สร้างขีดความสามารถในการประยุกต์และการเข้าถึงเทคโนโลยีการแปรรูปและเครื่องจักรกล ที่เหมาะสมกับขนาดแปลงที่เพาะปลูก โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลเกษตรและสร้างให้เกิดธุรกิจให้บริการเครื่องจักรกล เพื่อเป็นตัวเชื่อมการผลิตและการแปรรูปสินค้าเกษตร

“ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องเน้นความสำคัญของเศรษฐกิจในประเทศหรือ Local Economy อย่างจริงจัง เพราะโควิด–19 ที่ยืดเยื้อยาวนาน ได้ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจซบเซา จากคนทั่วโลกมีรายได้ที่ลดลง ส่งผลลบต่อการส่งออกในหลายๆ อุตสาหกรรม ทำให้แหล่งรายได้สำคัญของประเทศสูญหายไป”

เพราะการเตรียมพร้อมคือแต้มต่อที่จะทำให้ประเทศไทย สามารถแข่งขันได้อย่างมีศักยภาพ ทัดเทียมนานาอารยประเทศ ก่อนฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะกลับมาทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์อีกครั้ง หลังโควิด–19 คลี่คลายลง.

ทีมเศรษฐกิจ


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ