
ในเดือนกรกฎาคมนี้ คุณพ่อ-คุณแม่ ผู้ปกครองจะได้กลับมาเห็นภาพบรรยากาศความคึกคักของการเปิดภาคเรียนกันอีกครั้ง สำหรับโรงเรียน มหาวิทยาลัย และสถานศึกษาต่างๆ ที่มาพร้อมกับ “ความปกติใหม่” หลังผ่านพ้นวิกฤติการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งก็ยังต้องมีการเฝ้าระวังกันอย่างต่อเนื่อง
กระทั่งส่งผลให้ต้องมีการปรับตัวทั้งรูปแบบการเรียน การสอน หรือแม้แต่กิจกรรมต่างๆ โดยอาศัยเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเป็นเครื่องมือ รวมถึงการดูแลความปลอดภัย
Business On My Way สัปดาห์นี้ขอพาไปรู้จักกับ 2 นวัตกรรม ที่จะมาช่วยอำนวยความสะดวก และสร้างความมั่นใจให้นักเรียน คุณครู และผู้ปกครองให้สามารถกลับไปเรียนได้ในสภาวะที่ทุกอย่างอยู่ในยุค “นิว นอร์มอล” โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เป็นผู้อยู่เบื้องหลังช่วยสนับสนุน
เริ่มกันที่เทคโนโลยีแรกอย่าง “Online Blended Learning For School” หรือนวัตกรรมการเรียนแบบผสมผสานออนไลน์สำหรับโรงเรียน ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่จะเข้ามาทำให้การเรียนหนังสือของเด็กสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา โดย “น.ส.รษา วงศ์สมิง” ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เลิร์น เอ็ดดูเคชั่น จำกัด เล่าว่า บริษัทได้คิดค้นนวัตกรรมที่จะเข้าไปช่วยเสริมให้การเรียนการสอนหลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ให้สามารถดำเนินการได้อย่างง่าย และสะดวก เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตัวนักเรียน
รวมทั้งยังสามารถออกแบบกิจกรรมที่ตนเองอยากทำได้เอง เพราะต้องยอมรับว่าทุกวันนี้เด็กนักเรียนมีความต้องการที่ชัดเจนว่าอยากเรียน และทำกิจกรรมอะไร ดังนั้นนวัตกรรมของเลิร์น เอ็ดดูเคชั่น จะเข้าไปส่งเสริมในเรื่องดังกล่าว เพราะไม่ว่าเด็กจะอยู่ที่ไหน หรืออยากทบทวนบทเรียนช่วงใดก็สามารถทำได้เลยทันที
สำหรับรูปแบบแพลตฟอร์มจะเป็นการใช้งานในรูปแบบของแอปพลิเคชันที่ชื่อว่า “Learn Anywhere” ซึ่งเป็นแอปฯที่ต่อยอดมาจากระบบ “Online Blended Learning For School” โดยจะเปิดให้เด็กเรียนผ่านแอปฯ ในรายวิชาหลักอย่างเช่น วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ โดยเป็นบทเรียนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-มัธยมศึกษาปีที่ 3 เท่านั้น ส่วนการเข้าใช้งานนักเรียนจะต้องลงทะเบียนเพื่อขอ Password และ Username หลังจากที่ได้รับรหัสผ่านก็สามารถเข้าเรียนได้เลย โดยระบบจะจัดลำดับบทเรียนตามที่โรงเรียนได้กำหนดไว้
น.ส.รษา เล่าว่า ที่ผ่านมามีการนำระบบไปทดลองใช้กับโรงเรียนนำร่อง 5 แห่ง พบว่านักเรียนให้ความสนใจและเข้าใช้เป็นจำนวนมาก สำหรับความพิเศษของแอปฯ คือจะช่วยให้การเรียนผ่านระบบออนไลน์ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น ลดความกังวลว่า หากไปทำกิจกรรมแล้วจะมาเรียนไม่ทันเพื่อน ทั้งนี้ทางบริษัทเห็นว่าระบบสามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักเรียนในยุคนี้ได้ค่อนข้างมาก
สำหรับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้น จะเกิดผลดียิ่งขึ้นในกรณีที่มีการนำเอาแพลตฟอร์มออนไลน์ไปผสมผสานกับการสอนจริง นอกจากนี้แอปพลิเคชันยังจะเข้าไปสนับสนุนการเปิดเทอมหลังจากที่สถานการณ์โควิด–19 ดีขึ้น และสามารถช่วยให้โรงเรียนรักษามาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม โดยที่ไม่ต้องให้เด็กผลัดกันเข้าห้องเรียน
ถัดมาเป็นนวัตกรรมที่จะเข้ามาบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดหน้าโรงเรียน และช่วยดูแลบุตรหลานให้ปลอดภัย ด้วยแพลตฟอร์ม “Kids Up” ระบบจัดการความปลอดภัยของนักเรียนแบบครบวงจร โดย “นางอัมภาพัตร ฉมารัตน์” ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์ม Kids Up เล่าว่า จุดเริ่มต้นของ Kids Up เกิดขึ้นมาจากที่ตนเองไปรับ-ส่งลูกที่โรงเรียนเป็นประจำ และมักจะพบกับปัญหาการจราจรติดขัดหน้าโรงเรียน และความไม่ปลอดภัยที่เด็กจะต้องมายืนรอผู้ปกครองด้านหน้าซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
“จากปัญหาดังกล่าวทำให้เกิดแรงผลักดันให้คิดค้นแพลตฟอร์มที่มาช่วยบริหารจัดการการรับ-ส่งบุตรหลานผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ ที่ผู้ปกครองสามารถใช้งานได้ทันทีหลังจากลงทะเบียนผ่านเบอร์มือถือเท่านั้น โดยบริษัทจะเข้าไปติดตั้งระบบที่สามารถแสดงผล และแจ้งเตือนให้นักเรียนทราบว่าอีกกี่นาทีผู้ปกครองจะมาถึงผ่านระบบโทรทัศน์หรือจอแอลอีดี” นางอัมภาพัตร กล่าว
อย่างไรก็ตามได้มีการนำระบบดังกล่าวไปติดตั้ง และใช้งานกับโรงเรียนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และนนทบุรี พบว่าระบบดังกล่าวช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดได้ รวมถึงช่วยให้การจัดระบบรถเข้า-ออกบริเวณหน้าโรงเรียนได้เป็นอย่างดี ในส่วนของการใช้งานนั้น ได้มีการออกแบบแอปฯ ให้ใช้งานง่ายกว่าระบบบริหารจัดการการจราจรหน้าโรงเรียนของต่างประเทศ และยังมีความแม่นยำในเรื่องของเวลาค่อนข้างสูง เพราะระบบจะตรวจจับเวลาการเดินทางผ่าน Google Map ดังนั้นเวลาที่ผู้ปกครองมาถึงค่อนข้างตรงตามที่แจ้ง อาจจะมีบ้างในกรณีล่าช้า แต่เมื่อคำนวณแล้วบวกลบไม่เกิน 5 นาที
“ในอนาคตจะมีการพัฒนาฟังก์ชันสำหรับผู้ปกครองที่ไม่ได้มารับลูกด้วยตนเอง และรถรับ-ส่งนักเรียน หรือการเชื่อมระบบกับแกร็บ รวมถึงจะมีการพัฒนาระบบเพื่อรองรับผู้ปกครองในบางกลุ่มที่ไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟน ให้สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันได้ทุกรูปแบบ”
นางอัมภาพัตร เล่าว่า ในอนาคตนวัตกรรมหรือแพลตฟอร์มที่เกี่ยวกับการศึกษาจะเข้ามามีบทบาทค่อนข้างมาก ดังนั้นนวัตกรรมด้านการศึกษาจำเป็นจะต้องปรับและคิดค้นฟังก์ชันใหม่ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง โดยระบบเทคโนโลยีต้องสามารถเข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม
ท้ายที่สุดสำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เว็บไซต์ www.nia.or.th และ facebook.com/NIAThailand