ความยั่งยืนทางการคลังหลังโควิด-19 ดร.ฐิติมา ชูเชิด ฝ่ายนโยบายการเงิน

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ความยั่งยืนทางการคลังหลังโควิด-19 ดร.ฐิติมา ชูเชิด ฝ่ายนโยบายการเงิน

Date Time: 22 มิ.ย. 2563 05:01 น.

Summary

  • สถานการณ์การเงินการคลังของประเทศ โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า การรับมือกับโควิด–19 ในยกแรกสร้างภาระการคลังมากแค่ไหน และจะมั่นใจได้อย่างไรว่าการคลังจะกลับมายั่งยืนได้อีก

Latest

ดุสิตธานี เสาหลัก “ท่องเที่ยวไทย” กับเส้นทาง 9 ปี ที่ไม่เคยง่าย ของ“ศุภจี สุธรรมพันธุ์"

ไม่นานมานี้มีโอกาสได้ร่วมพูดคุยในฟอรัมนโยบายสาธารณะเกี่ยวกับความยั่งยืนทางการคลังของไทยหลังโควิด-19 จัดโดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เลยขอเก็บประเด็นมาฝากผู้อ่านบางขุนพรหมชวนคิดที่ติดตามสถานการณ์การเงินการคลังของประเทศอยู่ค่ะ โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า การรับมือกับโควิด–19 ในยกแรกสร้างภาระการคลังมากแค่ไหน และจะมั่นใจได้อย่างไรว่าการคลังจะกลับมายั่งยืนได้อีก

ในงานนี้ ดร.ศาสตรา สุดสวาสดิ์ และ ดร.ภาวิน ศิริประภานุกูล เล่างานวิจัยเกี่ยวกับภาพการคลังของไทยปีนี้และมองไปข้างหน้าให้ฟังว่า หากเงื่อนไขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อแย่ลงมากเพราะผลกระทบจากโควิด-19 และฟื้นตัวกลับมาได้ช้า รวมถึงมาตรการลดภาษีต่างๆ อาจทำให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลปีนี้และปีหน้าหายไปจากที่เคยคิดไว้ปีละประมาณ 2-2.5 แสนล้านบาท ซึ่งถ้ารัฐบาลยังคงวงเงินงบประมาณรายจ่ายตามแผนการคลังระยะปานกลางที่วางไว้ก่อนเกิดโควิด-19 ประมาณ 3.3-3.4 ล้านล้านบาทในปีนี้และปีหน้า ก็อาจเห็นการขาดดุลการคลังสูงกว่า 4% ต่อ GDP (สูงกว่าในช่วงปกติที่ 2–3% ต่อ GDP) และการขาดดุลอาจลดลงได้ช้าในระยะต่อไป

จากรายได้ที่ไม่พอวงเงินงบประมาณรายจ่าย ทำให้รัฐบาลต้องกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเยอะขึ้น รวมกับการกู้นอกงบประมาณตาม พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาทเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมฯ ที่อาจต้องเร่งกู้และเบิกจ่ายในช่วง 1-2 ปีนี้ ประกอบกับภาวะที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบทำให้ระดับ GDP ต่ำลงไปมาก ทำให้นักวิจัยทั้งสองท่านประเมินว่า ประมาณการหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยน่าจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากสิ้นปี 2562 ที่ประมาณ 41% ของ GDP ไปใกล้เพดานหนี้ตามกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ 60% ในปี 2564 นอกจากนี้ หนี้ที่เห็นอาจมีแนวโน้มที่จะไปต่อถ้ายังมีการกู้ใหม่สูง แต่เศรษฐกิจกลับยังไม่ฟื้นไประดับเดิม

ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินไว้รายงาน Fiscal Monitor เดือน เม.ย.63 ว่า หนี้สาธารณะต่อ GDP ในโลกจะสูงขึ้นมากเช่นกัน สำหรับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว คาดว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นจากเฉลี่ย 105% เป็น 122% ต่อ GDP จึงพอเห็นได้ว่า สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่พุ่งสูงขึ้นดูจะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก จึงไม่น่าแปลกใจนัก เพราะรัฐบาลสร้างหนี้เพิ่มขึ้นแบบมีที่มาที่ไปเพื่อใช้จ่ายรับมือโควิด–19 ส่วน GDP ของประเทศที่ใช้เป็นตัวหารก็ลดลงไปมาก แต่ที่น่าสนใจคือ รัฐบาลประเทศต่างๆจะสามารถบริหารจัดการให้หนี้สาธารณะที่สูงขึ้นมากให้กลับมายั่งยืนอีกครั้งได้อย่างไร

เมื่อมองย้อนไปในช่วงหลังวิกฤติการเงิน 2540 หนี้สาธารณะของไทยก็เคยขยับไปใกล้เพดานหนี้ที่ 60% ต่อ GDP จากที่เคยต่ำกว่า 20% แต่หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลก็สามารถบริหารจัดการหนี้ให้กลับมายั่งยืนได้ ซึ่งอาศัย 3 แรงช่วยกัน คือ (1) GDP เติบโตได้เร็วกว่าอัตราดอกเบี้ยจ่ายของยอดคงค้างหนี้ (2) ลดขนาดการขาดดุลงบประมาณได้ต่อเนื่อง และ (3) ลดภาระผูกพันทางการคลังและเงินกู้นอกงบประมาณที่ไม่จำเป็นลง

หากหนี้สาธารณะสูงเกินเพดานหนี้ตามกรอบความยั่งยืนทางการคลังปัจจุบันไปบ้าง ก็อาจพอจะขยับเพดานขึ้นได้บ้างในระยะสั้น ตราบใดที่รัฐบาลสื่อสารถึงความจำเป็นและสร้างความมั่นใจให้ผู้ถือพันธบัตรรัฐบาลได้ว่าไม่ได้ก่อหนี้เกินตัว โดยมีแผนปฏิรูปรายได้รายจ่ายในอนาคตให้มีเงินมาคืนหนี้ ใช้จ่ายเงินกู้อย่างคุ้มค่าเพื่อเร่งฟื้นเศรษฐกิจ รวมถึงใช้ประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยต่ำในช่วงนี้เพื่อลดต้นทุนเงินกู้ระยะยาวได้.

** บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด **


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ