นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังหารือกับนายอี อุก-ฮ็อน เอกอัครราชทูตเกาหลีประจำประเทศไทย ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ว่า เกาหลีใต้ได้เข้ามาหารือเกี่ยวกับการผ่อนปรนให้นักธุรกิจชาวเกาหลีใต้เข้ามายังประเทศไทยได้ ภายหลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 ในเกาหลีใต้คลี่คลายลงแล้ว เนื่องจากมีนักธุรกิจที่ต้องเดินทางเข้ามาหารือและติดต่อธุรกิจในประเทศไทยอยู่จำนวนหนึ่ง โดยนักธุรกิจของเกาหลีใต้พร้อมที่จะทำตามมาตรการที่จะได้มีการกำหนดร่วมกันของทั้งสองประเทศในการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยตนจะนำข้อเสนอดังกล่าว ไปหารือกับที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันที่ 15 พ.ค.นี้
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองกล่าวว่า เอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ได้ขอเข้าพบครั้งนี้ เพื่อต้องการรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจระหว่าง 2 ประเทศ โดยเฉพาะความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับไทย หลังการเยือนไทยของนายมุน แจ-อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ และกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-เกาหลีใต้เมื่อปีที่แล้ว ทำให้ผู้นำทั้งสองประเทศได้ร่วมกันกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ไว้อย่างชัดเจน
โดยการหารือครั้งนี้ เกาหลีใต้ขอให้ไทยพิจารณาผ่อนปรนให้นักธุรกิจที่จะเดินทางเข้ามาติดต่อธุรกิจและการค้าในไทย เพื่อให้กิจกรรมการค้า การลงทุนและการขนส่งสินค้าระหว่างสองประเทศดำเนินการต่อไปได้ในช่วงที่ยังมีโควิด-19 อยู่ โดยการผ่อนปรนนั้นอาจใช้แนวทางเดียวกับหลายประเทศที่เกาหลีใต้ได้มีการทำข้อตกลงไว้ เช่น จีน เวียดนามและฮังการี
ซึ่งเมื่อนักธุรกิจเกาหลีใต้เดินทางไปยังประเทศนั้นๆจะมีการกักตัวไว้เพื่อตรวจสอบหาเชื้อโควิด-19 จำนวน 2 ครั้ง หากผลตรวจทั้ง 2 ครั้งออกมาเป็นลบ ก็จะไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการกักตัว 14 วัน ทำให้สามารถออกไปติดต่อธุรกิจได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังขอให้รัฐบาลพิจารณาปลดรายชื่อเกาหลีใต้ออกจากการเป็นเขตที่มีการแพร่ระบาด เพราะสถานการณ์ในเกาหลีใต้ดีขึ้นมากแล้ว “หัวใจสำคัญในระยะต่อไปคือการให้ประชาชนสามารถทำมาหากินได้ ซึ่งการค้าระหว่างประเทศถือเป็นกลไกสำคัญ”.