
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ บริษัท หลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 เป็นปัจจัยเหนือการควบคุม ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในระยะสั้น แต่หากไม่มีมาตรการพยุงเศรษฐกิจที่เห็นผล อาจทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย คาดว่าหลังจากนี้ธนาคารกลางทั่วโลกจะทยอยประกาศมาตรการการเงิน ตามหลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แต่อาจไม่สามารถชะลอการเทขายหุ้น หรือส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจในทันที เนื่องจากคนขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไปแล้ว
ดังนั้น ปัจจัยเร่งด่วนที่ต้องเร่งทำเพื่อฟื้นความเชื่อมั่น และทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวกลับมาได้ นักลงทุนและผู้บริโภคต้องการเห็น 3 มาตรการหลัก ดังนี้
1.มาตรการควบคุมโรค หากยังควบคุมไม่ได้เป็นเวลานาน อาจลุกลามจนทำให้เกิดการปลดคนงาน หรือการผิดนัดชำระหนี้ระลอกใหญ่ ซึ่งเป็นชนวนให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) มาตรการการควบคุมโรคนี้ อาจต้องเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แม้ในระยะสั้นจะมีแรงเหวี่ยงต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรงแต่จะส่งผลดีในระยะยาว เนื่องจากคนมีความหวังว่าการแพร่ระบาดของไวรัสจะจบได้เร็วเหมือนจีนและเกาหลีใต้ และหากควบคุมการระบาดของโรคได้เร็ว ความเสี่ยง Recession ก็จะลดลงอย่างมาก
2.นโยบายการคลัง เช่น ออกมาตรการลดภาษี หรือการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่มากเพียงพอ ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นฟื้นตัวได้อย่างฉับพลัน คือเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการและบรรเทาผลกระทบของประชาชน เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเติมสภาพคล่องให้ภาคธุรกิจ และประคองไม่ให้เกิดการเลิกจ้างงาน เพราะหากเกิดการเลิกจ้างจำนวนมาก จะส่งผลกระทบต่อการบริโภคในระยะยาว และเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ช้า
3.ลดการซ้ำเติมเศรษฐกิจจากราคาน้ำมัน โดยซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย จะต้องกลับมาเจรจาลดปริมาณการผลิตน้ำมันเพื่อช่วยให้ราคาน้ำมันฟื้นตัว เป็นต้น
“เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยขณะนี้ แทบจะไม่มีภูมิต้านทาน สะท้อนได้ชัดเจนว่าโครงสร้างเศรษฐกิจพึ่งพารายได้จากต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงมาก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่มีสัดส่วน 11.5% ส่วนส่งออกก็กระทบเป็นลูกโซ่จากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า แม้ราคาน้ำมันปรับลดลงแต่ก็ไม่ได้ช่วยมากนัก มาตรการที่จะช่วยพยุงได้มากที่สุดคือ มาตรการการคลังมากกว่ามาตรการการเงิน เพราะภาวะเช่นนี้การปรับลดดอกเบี้ยไม่ได้ช่วยอะไรได้มากนัก”.