
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ให้ดึงดูดมากยิ่งขึ้น โดยเพิ่มประเภทกิจการเป้าหมายให้ครอบคลุมกว้างขึ้น ประกอบด้วย 1.กิจการในกลุ่มที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5-8 ปี ตามสิทธิ์พื้นฐานเกือบทุกประเภท ได้แก่ กลุ่ม เอ 1 : อุตสาหกรรมฐานความรู้, กลุ่ม เอ 2 : กิจการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาประเทศ และกลุ่ม เอ 3 : กิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 2.กิจการในกลุ่มการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย ได้แก่ ไบโอเทค นาโนเทค วัสดุขั้นสูง และดิจิทัล และกลุ่มที่สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย เช่น กิจการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ กิจการวิจัยและพัฒนา กิจการบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
สำหรับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้กำหนดเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม 2 ทางเลือก ได้แก่ เกณฑ์ด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และเกณฑ์ที่ตั้ง โดยสามารถเลือกดำเนินการทั้ง 2 เกณฑ์ควบคู่กัน หรือเลือกเกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งก็ได้ เช่น หากเป็นกิจการในกลุ่ม เอ 1, เอ 2, เอ 3 และเลือกเกณฑ์ด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เพิ่มเติม 3 ปี และหากเป็นกิจการในกลุ่มเทคโนโลยีเป้าหมายและกิจการสนับสนุน จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เพิ่มเติม 2 ปี
แต่หากกิจการเอ 1, เอ 2 และเอ 3 จะใช้เกณฑ์ที่ตั้งในโครงการในเขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษ ได้แก่ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซีไอ) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (อีอีซีดี) เมืองการบินภาคตะวันออก (อีอีซีเอ) และศูนย์นวัตกรรมการแพทย์ครบวงจร ธรรมศาสตร์ พัทยา (อีอีซีเอ็มดี) จะได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เพิ่มเติม 2 ปี เป็นต้น
“มาตรการนี้มีผลบังคับใช้สำหรับคำขอรับการส่งเสริมที่ยื่นตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.63 จนถึงสิ้นปี 64 ยกเว้นโครงการที่จะตั้งในเขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษ 4 แห่ง ได้แก่ อีอีซีไอ, อีอีซีดี, อีอีซีเอ และอีอีซีเอ็มดี ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนตามมาตรการนี้ได้โดยไม่กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการยื่นคำขอ”.