
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากรเปิดเผยว่า ขณะนี้ยังมีผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ประมาณ 40,000 ราย จากจำนวนเอสเอ็มอีที่ลงทะเบียนกับกรมไว้ประมาณ 400,000 ราย ยังไม่เข้าร่วมโครงการจัดทำบัญชีเล่มเดียว หรือการจัดทำบัญชีและงบการเงินให้ถูกต้องและสอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงกับกรมสรรพากร ดังนั้นเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการกลุ่มนี้สามารถจัดทำบัญชีได้อย่างถูกต้อง กรมจึงร่วมกับ 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ยังไม่มีการจัดทำบัญชีเล่มเดียวมาลงทะเบียนใหม่ภายในวันที่ 30 มิ.ย.2562
นอกจากนี้ กรมได้ออกมาตรการจูงใจ โดยการยกเว้นเบี้ยปรับเงินเพิ่มภาษีอากร และความรับผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวข้องให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มายื่นแบบแสดงรายการภาษีพร้อมชำระภาษีครบถ้วน โดยมีเงื่อนไขต้องเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีรายได้ทางภาษีไม่เกิน 500 ล้านบาท พร้อมลงทะเบียนในระบบของกรมภายในระยะเวลาที่กำหนด และต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (e-Filing) ทุกประเภทภาษีเป็นระยะเวลา 1 ปีต่อเนื่อง “ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่จะเข้าร่วมมาตรการนี้กับกรมจะต้องมาแสดงความจำนงภายในสิ้นเดือน มิ.ย.นี้ เพื่อขอรับสิทธิ์ดังกล่าว โดยต้องยื่นแบบภาษีผ่านอินเตอร์เน็ตเป็นเวลา 1 ปีต่อเนื่อง ถ้าขาดเดือนใดก็ตาม กรมจะถือว่าผิดเงื่อนไข และหากยื่นเข้าร่วมกับกรมแล้วยังไม่สามารถทำบัญชีเล่มเดียวได้อีก จะทำการยกเลิกข้อตกลง และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะต้องเสียเบี้ยปรับเงินเพิ่มทันที”
ด้านนางวจีทิพย์ พงษ์เพ็ชร ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ได้กำหนดแนวปฏิบัติพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยอนุญาตให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีใช้ข้อมูลที่ยื่นต่อกรมสรรพากรในการยื่นรายการภาษีเงินได้ ซึ่งแจ้งสถานะทางการเงินและผลประกอบการในอดีตมาใช้ในการประกอบการพิจารณาสินเชื่อได้ แม้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะยังไม่มีการทำบัญชีเล่มเดียว ซึ่งนโยบายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา.