กฟผ.ทุ่มหมดหน้าตัก 6 แสนล้าน

นายวิบูลย์ ฤกษ์ศิระทัย ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยฉบับใหม่ ปี 2561-2580 (พีดีพี2018) กฟผ.จะต้องใช้เงินลงทุน 600,000 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงไฟฟ้าหลัก เพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงาน โดยระยะ 10 ปีแรก ของแผนพีดีพี กฟผ.จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 5,400 เมกะวัตต์ใช้เงินลงทุน 300,000 ล้านบาท และลงทุนก่อสร้างระบบส่งกำลังไฟฟ้า อีก 300,000 ล้านบาท โดยแผนลงทุนดังกล่าวอยู่ระหว่างการเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้เห็นชอบต่อไป

สำหรับเงินที่จะใช้ลงทุน กฟผ.มีแผนการกู้เงินจากในประเทศเป็นหลัก เพื่อใช้ก่อสร้างโรงไฟฟ้า ขณะเดียวกัน ก็จะมองหานวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆเข้ามา เช่น การตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund: IF) เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีอยู่ 1 กองทุน เป็นต้น โดยโรงไฟฟ้าหลักของ กฟผ.ที่จะมีการผลิตไฟฟ้า 5,400 เมกะวัตต์ จะมาจากโรงไฟฟ้า 8 แห่ง อาทิ โรงไฟฟ้าน้ำพอง ขนาด 650 เมกะวัตต์ จ่ายไฟฟ้า เข้าระบบปี 2568, โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ขนาด 600 เมกะวัตต์ จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบปี 2569, โรงไฟฟ้าพระนครใต้ 700 เมกะวัตต์ จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบปี 2569 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก มีเพียงโรงไฟฟ้าแม่เมาะที่ใช้ถ่านหิน

“ตามแผนพีดีพี กฟผ.จะมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าเฉลี่ยตลอดแผนเหลือเพียง 24% จากเดิม 35% ขณะเดียวกันสัดส่วนดังกล่าวก็อาจเปลี่ยนแปลงได้เนื่องจากพีดีพีต้องมีการปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทุกๆ 5 ปี”

นอกจากนี้ ตามแผนพีดีพี กฟผ.ยังถูกกำหนดให้มีบทบาท ในการดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำขนาดใหญ่ (โซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ) ในเขื่อนของ กฟผ. รวม 9 แห่ง กำลังผลิตไฟฟ้ารวม 2,725 เมกะวัตต์ และหากดำเนินการเต็มที่ก็สามารถผลิตได้ถึง 10,000 เมกะวัตต์ ขณะที่ สัดส่วนโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ ก็จะแยกออกจากโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ติดตั้งบนหลังคาที่อยู่อาศัย (โซลาร์ ภาคประชาชน) ที่มีปริมาณ 10,000 เมกะวัตต์ ในแผนพีดีพีใหม่

“แม้ว่าแผนพีดีพีฉบับใหม่ ไม่มีการบรรจุโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ จังหวัดกระบี่และโรงไฟฟ้าเทพา จังหวัดสงขลา ไว้ในแผน แต่ก็ไม่ได้หมายถึงจะยกเลิกการก่อสร้าง เพราะต้องรอผลสรุปจากคณะกรรมการกำกับการศึกษาการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ที่กำลังศึกษาเรื่องนี้ก่อน”.