ไทยพาณิชย์บุกชิงลูกค้ากลุ่มอภิมหามั่งคั่ง มี 1.2 แสนคนเป๋าตุง 20 ล้านล้านบาท

เป่ากระหม่อมป้อนบทวิเคราะห์เจาะลึก มุ่งสู่เป้าหมายต่อยอดให้รวยซ้ำรวยซ้อน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จัดงานสัมมนาให้ลูกค้ารวยที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (Ultra High Net Worth) พร้อมเปิดตัว Wealth Research บทวิเคราะห์เจาะลึกคำแนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นให้กับกลุ่มลูกค้า Private Banking ผู้มีความมั่งคั่งร่ำรวยและต้องการให้ธนาคารช่วยบริหารจัดการความร่ำรวยให้

โดยนางสาวลลิตภัทร ธรณวิกรัย รองผู้จัดการใหญ่สาย Private Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดลูกค้ากลุ่มที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในประเทศไทยที่มีสินทรัพย์ตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป มีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีคนกลุ่มนี้ราว 123,000 ราย มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารในระบบรวมกันกว่า 20 ล้านล้านบาท โตจากปี 2560 ถึง 13.3% ขณะที่ไทยพาณิชย์มีฐานลูกค้ากลุ่มนี้กว่า 10,000 คน มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เพียง 750,000 ล้านบาท จึงมองยังมีศักยภาพและโอกาสการเติบโตได้อีกมาก ด้วยศักยภาพของทีมที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญทางการเงินของธนาคาร ทั้งการนำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศ และการลงทุนในประเทศ เช่น การผนึกกำลังกับฝั่งบริษัทหลักทรัพย์ เพื่อจัดเตรียมบทวิเคราะห์ด้านการลงทุนในตลาดหุ้นแบบฉบับเฉพาะบุคคล รวมทั้งการจัดสัมมนาให้ข้อมูลเจาะลึกรอบด้านให้กับลูกค้ารวยกลุ่มนี้ตลอดทั้งปี เพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจลงทุนต่อยอดความมั่งคั่งทั้งส่วนตัวและธุรกิจ ประเดิมด้วยงานสัมมนามุมมองทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2562

ด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ฝั่งบริษัทหลักทรัพย์เล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของลูกค้ากลุ่มนี้ ซึ่งต้องการงานวิจัยที่ครอบคลุมมุมมองการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย จึงตั้งทีม Wealth Research ทำงานวิจัยที่ครอบคลุมทั้งหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ หุ้นกู้ หุ้นกู้อนุพันธ์และกองทุนรวม เพื่อให้ลูกค้านำไปใช้ตัดสินใจลงทุนได้ถูกต้องและทันต่อเหตุการณ์

โดยสำหรับมุมมองหุ้นปี 2562 เชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าปีก่อน โดยคาดว่าดัชนีมีโอกาสขึ้นไปได้สูงสุดที่ 1,800 จุด แต่ไม่น่าไปได้ไกลกว่านี้มาก หรือให้ผลตอบแทน 10-15% จากปัจจุบัน ที่มองว่าตลาดหุ้นไตรมาส 1 จะเป็นจุดที่ต่ำสุดของปีแล้ว โดยตลาดได้ปัจจัยบวกการเลือกตั้งที่มีความชัดเจน ทำให้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 และเชื่อว่าจะทำจุดสูงสุดได้ช่วงไตรมาส 3 ที่จะมีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นมากที่สุด

ส่วนไตรมาส 4 อาจโดนแรงขายทำกำไรออกมา เพราะยังมีปัจจัยนอกประเทศกดดัน ที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะชะลอตัว ขณะที่เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะโตได้ 3.8% และอาจมีการปรับลดคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนไทยลงจากเดิมคาดว่าจะโต 5-8% ลงมาเหลือ 4-5% ขณะที่มองว่าการเลือกตั้งเป็นบวก ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ไม่น่าถึงกับวุ่นวาย แต่ยังคงต้องติดตาม

ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ บล.ไทยพาณิชย์ที่แจกให้ลูกค้ากลุ่มรวยมั่งคั่งระบุว่า หากผู้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน ได้รับเลือกเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ก็จะสามารถทำงานได้ต่อเนื่อง แต่สิ่งที่ยากลำบากในการเป็นรัฐบาลผสมภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อาจทำให้การทำงานไม่รวดเร็วและเด็ดขาดเหมือนรัฐบาลปัจจุบัน และยังต้องเผชิญความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งจะทำให้เสถียรภาพทางการเมืองลดลง ขณะที่หากพรรคการเมืองอีกขั้วชนะเลือกตั้ง ซึ่งมีแนวคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจนำมาซึ่งความขัดแย้งทางการเมือง แต่แม้ไม่แก้รัฐธรรมนูญ ก็มองว่าข้อกำหนดจากแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี ที่ต่อเนื่องจากรัฐบาลปัจจุบัน อาจทำให้พรรคเพื่อไทยมีข้อจำกัดในการออกนโยบายใหม่.