ประมง ปัตตานีจอด 500 ลำ เงินก็ฝืดแล้ว

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ประมง ปัตตานีจอด 500 ลำ เงินก็ฝืดแล้ว

Date Time: 18 ธ.ค. 2561 05:01 น.

Video

Jack Ma กลับมา จะพา Alibaba สร้างอำนาจใหม่ให้วงการเทคจีนได้ยังไง ? | Digital Frontiers EP.50

Summary

ประเด็นสำคัญ...บางมาตรามีโทษรุนแรง ปรับสูงถึง 20-30 ล้านบาท “ชาวประมง”...ปฏิบัติไม่ได้ ด้วยกฎกติกาหลายๆข้อไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิต “ชาวประมงตัวจริง”...?

Latest


กฎหมายต่างๆที่ออกมา ระเบียบกรมประมง

ประเด็นสำคัญ...บางมาตรามีโทษรุนแรง ปรับสูงถึง 20-30 ล้านบาท “ชาวประมง”...ปฏิบัติไม่ได้ ด้วยกฎกติกาหลายๆข้อไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิต “ชาวประมงตัวจริง”...?

กลุ่มเรือประมงจังหวัดปัตตานีสะท้อนปัญหากับทีมข่าว “สกู๊ปหน้า 1” ยกตัวอย่างมาตราหนึ่ง เรือประมงที่บอกว่าจะทำการประมงพาณิชย์ได้ต้องทำนอกทะเลชายฝั่ง พวกเราอยากจะสะท้อนให้เห็นภาพจริงว่าการทำประมงในทะเลนั้น...มีมรสุม มีน้ำเชี่ยว มีอุบัติเหตุด้วยเครื่องยนต์ อุปกรณ์ต่างๆ

“เราออกไปทำประมงนอกเขตชายฝั่ง แต่ถ้าหากมรสุมมาเราจะต้องไหลเข้ามาไหมในทะเลชายฝั่ง เรามีความผิดทันที”

“ผิด” อย่างไร แน่นอนว่าความผิดข้างต้นนี้ถือว่าเป็นความผิดโดยไม่ได้ตั้งใจแต่กฎหมายระบุชัดเจนว่ามีโทษปรับตั้งแต่ 5 ล้านบาท ไปจนถึง 25 ล้านบาท ถือว่า...ไม่ได้รับความเป็นธรรม

อีกตัวอย่าง “ชาวประมง” ออกไปทำประมง เรื่องแรงงานในเรือประมง บางทีปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการทำเอกสาร ชื่อแรงงานต่างด้าว ไต้ก๋งเรือส่วนใหญ่ก็ไม่รู้จัก พอชื่อผิด...นิดๆหน่อยๆเรือลำนี้ก็คือ...“ผิด”

“พอความผิดเกิดขึ้นหมายความว่าเรือลำนี้อาจจะโดนล็อกเรือ โดนจับ โดนเอาสัตว์น้ำขายทอดตลาด เพราะอำนาจกฎหมายมาตรา 105 ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐสั่งการได้เลย”

ปกติคดีอาญาทั่วๆไปมี 3 ศาล ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา...แต่คดีเรือประมงตัดสินด้วยเจ้าหน้าที่คนเดียว ถ้าเห็นว่า...“ผิด” นี่คือที่มาของปัญหาเรือประมงและชาวประมงที่อยู่กันไม่ได้ทุกวันนี้

สภาพเป็นจริง “เรือประมงพาณิชย์” แท้ๆเป็นเช่นนี้ ก็ต้องทนอยู่หรือไม่ก็อยู่ทนกันต่อไปจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่ง อาจจะเรียกได้ว่าเสมือนลูกไก่ในกำมือจะบีบก็ตายจะคลายให้บ้างก็อาจจะมีทางรอด

กระนั้นเรือประมงพาณิชย์ก็เป็นหนึ่งในตัวแปรที่ทำให้ “รายได้” ประเทศหดหายไป...กรณีศึกษา “เรือประมงพาณิชย์” ตั้งแต่ขนาด 60 ตันกรอสขึ้นไปแค่ 1 ลำในจังหวัดปัตตานี...มีลูกน้อง ไต๋ 1 คน, เอ็นจิเนียร์ช่างประจำเรือ 1 คน, ลูกน้อง 30 คน...คนเหล่านี้จะเชื่อมโยงไปถึงร้านขายเนื้อ ขายผักในตลาดมูลค่า 30,000 บาทต่อลำ

เชื่อมโยงไปถึงร้านซ่อมที่จะมีมูลค่าราวๆ 50,000 บาท ซ่อมใบจักร ช่างทำอวน...เย็บปะอวน 10-20 คน ร้านซ่อมเครื่องยนต์ 10 คน...ซ่อมระบบไฟฟ้า 10 คน...ซ่อมอุปกรณ์หาปลา...ซ่อมสื่อสาร...ช่างไม้...ช่างไฟเบอร์

ต่อเนื่องไปถึง...ร้านค้าขายอะไหล่ อุปกรณ์สี ไม้ อุปกรณ์ไฟฟ้าเกี่ยวกับเรือ ส่วนนี้มีมูลค่าราวๆ 150,000 บาท แล้วก็มีส่วนเชื่อมโยงกับโรงงาน โรงน้ำแข็ง โรงปลาป่น โรงปลากระป๋อง อีกราวๆ 3 แสนบาท

ขณะเดียวกันที่ “แพปลา” จะเป็นลักษณะของค่าแรง คนงานแพ คนงานส่วนอื่นๆก็จะมี...คนงานดองปลา เสมียนเช็กปลา คนขับรถตู้ เสมียนในออฟฟิศ ช่างซ่อมรถตู้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คำนวณคร่าวๆให้เห็นว่าในกระบวนการนี้จะมีคนที่ได้รับผลกระทบราวๆ 500 ชีวิต...ปุจฉาสำคัญมีว่า จำนวนเรือในจังหวัดปัตตานีมีอยู่ราวๆ 500 ลำ ก็เท่ากับว่ามีตัวเลขมูลค่า ค่าแรงต่อเดือน...(คิดแค่อัตราค่าแรงขั้นต่ำวันละ 308 บาท) จะตกเฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 155 ล้านบาท

และมูลค่าสินค้าต่อเดือนอยู่ที่ 530 ล้านบาท รวมสองอย่างประมาณ 680 ล้านบาท...ถ้า 1 ปีก็มีผลกระทบเป็นมูลค่าถึง 8,220 ล้านบาท...เฉพาะที่ “ปัตตานี” เท่านั้น ช่วงระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมามีตัวเลขสะท้อนผลกระทบ 3 หมื่นกว่าล้านบาท...เป็นตัวเลขเศรษฐกิจเชื่อมโยงกับธุรกิจเรือประมงในปัตตานีที่มีผลกระทบ

หากเรือประมงหยุด 1 ลำ ก็หมายความว่าพวกนี้จะกระทบทั้งหมด ขยับไม่ได้

“ตัวเลขมูลค่าทางเศรษฐกิจข้างต้นนี้ อาจจะพูดได้ว่ารัฐบาลอาจจะมองไม่เห็น แต่พวกผมในพื้นที่ เราเห็น เราเดินเข้าไปในตลาด แม่ค้าจะถามเลยว่าไม่ซื้อกับข้าวบ้างหรือ เราก็บอกไปว่า...พวกเราย้ายไปอยู่มาเลเซีย 70 ลำ”

ประเด็นนี้สำหรับคนนอกอย่าบอกว่าเราถูกเนรเทศนะ ต้องบอกว่านี่คือมาตรการบังคับที่ทำให้เราต้องเลือกว่าจะเป็น “ไทย” หรือ “เทศ” ไม่ว่าจะให้เราเป็นอย่างไร ถามว่า...ถ้าเป็นเทศแล้วกลับมาได้ไหม?

“เลือกแล้วเป็นเรื่องง่าย แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจะตกอยู่กับประเทศไทย ด้วยมูลค่าปลาที่ทัพเรือประมงไทยเราจับมาได้…หลายคนอาจจะพอรู้มาบ้างว่าเรือที่ออกหาปลานอกน่านน้ำประเทศไทยได้ถือว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดา เรียกได้ว่ามีศักยภาพ มีความสามารถสูง”

ในอดีตเมื่อก่อนนี้พวกเราไปหาปลาที่อินโดนีเซีย มาเลเซีย นั้น “มูลค่าสัตว์น้ำ” ที่เราพาเข้ามาให้ ปัตตานีเจริญได้มีมากมาย แต่ทุกวันนี้...อาจจะเรียกได้ว่าย่ำแย่ จนกระทั่งล่มสลายไปแล้วก็ว่าได้

“โรงงานน้ำแข็งกว่า 10 โรงปิดไปแล้วอย่างน้อยๆ 5-6 โรง...เพราะเรือไม่มี มีก็มีน้อย ถัดมาก็โรงงานปลากระป๋องชื่อดังยี่ห้อหนึ่งก็กำลังจะย้ายฐานการผลิต อีกโรงใหญ่ชื่อดังก็กำลังจะปิดตัวด้วยภาวะวัตถุดิบเป็นเช่นนี้ เข้ามาไม่สม่ำเสมอเจ้าของดั้งเดิมอายุเยอะแล้ว ลูกหลานก็ไม่อยากทำก็ยิ่งตัดสินใจปิดง่ายขึ้น”

อีกแห่งโรงงานปลาหมึกส่งออกต่างประเทศโดยเฉพาะ ก็เจอปัญหาวัตถุดิบที่เข้ามาไม่มาก ก็ปิดเลย ยอมขาดทุนตอนนี้ดีกว่า...

จ่ายค่าชดเชยให้หมดถ้าจำไม่ผิดวงเงินน่าจะอยู่ที่ราวๆ 60–70 ล้านบาท ดีกว่าที่จะขาดทุนเดือนละ 20 ล้านบาท แล้วก็ย้ายฐานไปรวมกับบริษัทแม่ที่จังหวัดสงขลา

ผลกระทบเรือประมงพาณิชย์เพียงแค่ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี สะท้อนปัญหาชัดเจนไม่เฉพาะกับเรือประมงหากแต่ขยายวงกระทบธุรกิจต่อเนื่องเป็นวงกว้างเข้าไปแล้ว

คำถามสำคัญมีว่า...โรงงานที่จะทยอยปิดตัวลงเรื่อยๆ...การค้าการขายที่ฝืดๆไม่คล่องตัว ถ้ายิ่งนานวันเข้าจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้างในพื้นที่?

“คำตอบก็คือ...คนไม่มีรายได้ ก็เกิดอะไรได้หมด ใครยื่นเงินให้ไปทำอะไร ...ไปจัดการสร้างปัญหาอะไรขึ้นมาในพื้นที่บ้างก็ทำได้หมด”

ต้องบอกกันตามตรงว่า...พื้นที่ตรงไหนที่น่ากลัว ถ้าพัฒนาท้องถิ่นทำให้คนบริเวณนั้นมีรายได้ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นมาได้

“จังหวัดปัตตานีเมื่อก่อนไม่มีสถานการณ์เหมือนในวันนี้ เพราะเรือทุกลำหาปลาเข้ามา ก็จะเกิดการกระจายรายได้ไปสู่พื้นที่ทุกตารางนิ้วทั่วกันไปหมด ข้อมูลข้างต้นที่แจกแจงมานี้ยังไม่รวมบริษัทรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์...เอาแค่ว่าที่แตะต้องได้ชัดเจนเท่านั้น”
เมื่อก่อนเถ้าแก่เรือ ไต๋เรือ...เหลือเงินก็ออกรถ ลูกน้องเหลือเงินก็ออกมอเตอร์ไซค์ เชื่อมโยงเป็นลูกโซ่กันไปหมด ทว่า...ภาพนั้นเป็นอดีตไปแล้วในวันนี้ เพราะ “ปัตตานี” ย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ

ข้อมูลทั้งหมดเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่...กระทบ “ระบบเศรษฐกิจ” ในพื้นที่เป็นวงกว้าง คุยกับเจ้าหน้าที่รัฐหากรับฟังก็จะเป็นเรื่องดีเพราะจะได้ยื่นมือเข้ามาช่วยกันแก้ปัญหา คลี่คลายสถานการณ์ที่กำลังบีบรัด

แต่...ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ผ่านมาเกิดเงื่อนปมปัญหาสำคัญที่ว่าคุยกันแล้ว

กันเล่าจนไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกันอีกแล้ว มีโอกาสก็พยายามรวมกลุ่มกันเข้าไปนำเสนอทุกเวที แน่นอนว่า...จังหวัดย่อมรับรู้ปัญหานี้ดีแน่นอน

มีใครบ้างไหม...ที่มีความกล้านำเสนอข้อมูลส่งต่อไปยังผู้ใหญ่ในรัฐบาล หรือผู้ที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบเข้ามาแก้ไข หรือต้องรอให้ “อวสานประมง...อวสานปัตตานี” เสียก่อน?


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ