
อีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แลนด์มาร์กสำคัญของกรุงเทพมหานครอย่าง “ดุสิตธานี” โรงแรมระดับห้าดาวเก่าแก่ ที่อยู่คู่ถนนสีลมมายาวนานกว่า 5 ทศวรรษ กำลังจะกลายเป็นตำนาน เพราะต้องปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 5 ม.ค.2562 เพื่อสร้างโรงแรมใหม่ให้สอดคล้องกับโลกอนาคต
“โรงแรมดุสิตธานี” ซึ่งปลุกปั้นขึ้นด้วยสองมือของ “ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย” หญิงแกร่งแห่งวงการธุรกิจการโรงแรมของไทย ต้องผ่านการใคร่ครวญอย่างหนักจากทายาทคนโต “คุณชนินทธ์ โทณวณิก” รองประธานกรรมการและประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กระนั้น เพื่อความอยู่รอดของโรงแรมดุสิตธานีในอนาคต จึงต้องตัดใจทำเพื่อเปิดหน้าบันทึกใหม่ของ “โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ” ที่จะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2565
“ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย” คุณแม่ของผมสร้างโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เพราะเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในเวทีระดับโลก ซึ่งท่านคิดว่า การสนับสนุนที่ดีที่สุดคือ การสร้างโรงแรมที่โดดเด่นและดีที่สุดตามมาตรฐานสากล โดยยึดขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมไทยเป็นหลัก เพื่อให้กรุงเทพมหานครปรากฏอยู่บนแผนที่ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ด้วยเหตุนี้โรงแรมดุสิตธานีจึงเริ่มก่อสร้างขึ้นในปี 2509 แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ในบริเวณถนนสีลมมีความเจริญมากขึ้น เราจึงต้องเร่งปรับตัวขนานใหญ่ ต้องยอมรับว่าโรงแรมดุสิตธานีเป็น
โรงแรมเก่า แบบการก่อสร้างเป็นแบบเก่า ซึ่งยากแก่การปรับปรุง ขณะเดียวกัน ความต้องการของลูกค้าปัจจุบันกับอดีตมีความแตกต่างกัน ขนาดห้องของเราสู้โรงแรมอื่นไม่ได้ เพราะห้องของเราเล็ก ห้องพักขนาด 32 ตร.ม. ในอดีตถือว่าใหญ่แล้ว แต่ปัจจุบันยังไม่พอ เราพยายามทำทุกอย่างที่ทำให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ เช่น ทำ 2 ห้อง ให้มาเป็นห้องเดียว แต่โครงสร้างของโรงแรมเก่าแก้ไขลำบาก เราเจอปัญหามาก จึงต้องมีการคุยกันในตอนจบว่า อะไรสำคัญที่สุด คำตอบคือ คุณแม่อยากให้มีโรงแรมที่สามารถแข่งขันกับโรงแรมระดับโลกได้ แต่ต้องเป็นของคนไทย โรงแรมชื่อไทย ซึ่งในยุคนี้โครงสร้างโรงแรมเก่าไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้ เราจึงตัดสินใจกัดฟันปิดตัวเองลงและสร้างโรงแรมดุสิตธานีโฉมใหม่ ให้เป็นโรงแรมที่คุณแม่ฝันไว้ ปลุกปั้นให้โรงแรมของเรากลับมาเป็นที่หนึ่งสู้กับโรงแรมระดับโลกให้ได้
ในส่วนตัว ผมมีความผูกพันกับโรงแรมดุสิตธานี นับตั้งแต่ก่อสร้าง เพราะเดินดูการก่อสร้างกับคุณแม่ ในฐานะลูกคนโต ตั้งแต่จำความได้ ผมรู้ว่าผมต้องอยู่ที่นี่ เติบโตที่นี่ เมื่อมีข่าวจะปิดโรงแรมดุสิตธานี ผมได้รับทั้งจดหมายและอีเมลจากลูกค้าต่อว่ามากมาย รวมทั้งถูกว่าซึ่งๆหน้าก็มี ว่าทำไมจะทุบโรงแรมนี้ทิ้ง สิ่งเหล่านี้แสดงว่า เขาเห็นความสำคัญของโรงแรมดุสิตธานี เขามีความผูกพันกับเรา ก่อนปิดมีแขกผู้ใหญ่มาจองห้องพัก อยากมานอนก่อนโรงแรมปิด ทำให้เรากังวลใจ คนมีความผูกพันกับสิ่งที่ดีของดุสิตธานี โจทย์สำคัญคือต่อไปในอนาคตเราจะทำอย่างไรให้ความผูกพันนี้กลับมา ผมจึงพยายามทำให้โรงแรมดุสิตธานีแห่งใหม่มีบุคลิกและจิตวิญญาณเดิมมากที่สุด
มีคำถามอยู่เยอะว่า ทำไมผมไม่ทำให้เป็นโรงแรมใหม่ทันสมัยไปเลย แต่ผมถือคติว่า “สิ่งที่แท้ คือในสิ่งที่เราเป็น” จุดยืนของเราคือตรงนี้ และเราอยากจะเก็บสิ่งดีๆของโรงแรมดุสิตธานีเอาไว้ ทำอย่างไรให้โรงแรมใหม่มีบุคลิกของโรงแรมเก่าในส่วนที่ดี อะไรที่ดีเราก็เก็บไว้ เป็นความเชื่อของคุณแม่ที่อยากทำโรงแรมแบบไทย มีการออกแบบไทย และชื่อไทย ในอนาคตจะได้มีความหมาย เราต้องทำอย่างไรให้โรงแรมใหม่มีบุคลิก
มีความสำคัญเหมือนโรงแรมดุสิตธานีในตำนาน “ดุสิตธานี” จะเป็นตัวแทนประเทศ เป็นสิ่งที่คุณแม่ตั้งโจทย์ไว้ตั้งแต่แรก เราเลยมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศิลปากรในการอนุรักษ์เอกลักษณ์ของโรงแรมดุสิตธานี ในโครงการบันทึกการเปลี่ยนผ่านหน้าประวัติศาสตร์ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ “Preserving Dusit Thani Bangkok’s Artistic Heritage” เพื่อรักษาตำนานของสถาปัตยกรรมเก่าแก่คู่ถนนสีลม
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โรงแรมดุสิตธานีได้สร้างความประทับใจให้กับแขกที่มาเยือนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ทั้งในเรื่องของการบริการและการดูแล รวมถึงการเป็นอาคารอันเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคสมัย ด้วยสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น มีอัตลักษณ์ในแบบเฉพาะตัว การที่เราอยู่ไหนมานานทำให้ชินตา จึงพยายามให้คนข้างนอกช่วยดูว่า เราจะอนุรักษ์หรือทำอะไรได้บ้างเพื่อรักษาอัตลักษณ์ของดุสิตธานี อย่างที่ “ห้องอาหารเบญจรงค์” เป็นห้องที่ใช้เงินลงทุนมากที่สุดในสมัยนั้น เพราะคิดว่าร้านอาหารที่ดีที่สุดของเราจะต้องเป็นร้านอาหารไทย ในขณะที่โรงแรมอื่นอาจจะเน้นที่ห้องอาหารฝรั่ง แต่เราคือ “คนไทย” คุณแม่จึงอยากทำห้องอาหารไทยให้ดีที่สุด อย่างการตั้งชื่อโรงแรมว่า “ดุสิตธานี” ทุกคนบ่นว่าจำยาก ทำไมไม่หาชื่อฝรั่ง แต่คุณแม่เห็นว่าโรงแรมเราตั้งอยู่ตรงข้ามพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 และท่านอยากใช้ชื่อไทยๆ เลยใช้ชื่อดุสิตธานี ดังนั้น เมื่อจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง ผมจึงต้องการที่จะเก็บรักษาส่วนต่างๆของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ที่มีคุณค่าทางจิตใจและทางประวัติศาสตร์ไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา เพราะผมเชื่อว่าอดีตคือแรงบันดาลใจสู่อนาคตที่ยั่งยืน
โรงแรมดุสิตธานีถือเป็นต้นแบบของอาคารสถาปัตยกรรมไทยโมเดิร์นยุคแรกๆ ที่ได้รับการพูดถึงในการเรียนการสอนของนักศึกษาสถาปัตย์ ซึ่งเป็นการผสมผสานความทันสมัยแบบตะวันตก เข้ากับศิลปะสถาปัตยกรรมของไทย ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยอดพระปรางค์วัดอรุณ เป็นการคิดนอกกรอบในการออกแบบสถาปัตยกรรมในยุคนั้น นอกจากนี้ ยังได้เห็นพัฒนาการและความก้าวหน้าของจิตรกรรมฝาผนังไทย ซึ่งปรากฏอยู่ในผลงานของ “ท่านกูฏ” (อาจารย์ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ) ปรมาจารย์ด้านจิตรกรรมไทยร่วมสมัย ที่ได้นำสีสันใหม่ๆมาใส่ในงานจิตรกรรมไทยในห้องอาหารเบญจรงค์ มีทั้งเสาหินวาดลายจิตรกรรมไทยที่หนักถึง 3 ตัน และจิตรกรรมฝาผนัง ที่ต้องการสะท้อนความเป็นไทยแบบร่วมสมัย รวมถึงการจัดภูมิสถาปัตย์ การออกแบบสวนต่างๆที่เหมือนเป็นโอเอซิสใจกลางเมือง และเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้น้อยใหญ่ที่แวดล้อมอาณาบริเวณโรงแรม ซึ่งสร้างบรรยากาศ ความสงบเงียบ และเป็นแหล่งผลิตโอโซนขนาดย่อมๆให้แก่ย่านสีลม
โครงการอนุรักษ์นี้ประกอบด้วยสามส่วนหลักๆ ส่วนแรกคือ “งานอนุรักษ์” ครอบคลุมการอนุรักษ์งานเครื่องไม้สักทองแกะลวดลายบนฝ้าเพดาน งานจิตรกรรมภาพวาดบนเสา และฝาผนังในห้องอาหารเบญจรงค์ รวมถึงเปลือกอาคารด้านนอก ซึ่งต้องใช้การบูรณาการของทุกองค์ความรู้ ทั้งด้านจิตรกรรม วิศวกรรม สถาปัตยกรรม และโบราณคดี ในการอนุรักษ์ผลงานอันทรงคุณค่านี้ โดยทางศิลปากรจะแกะแบบ แล้วนำไปประกอบในโรงแรมใหม่ ส่วนที่สองคือ “การศึกษาวิจัย” ประวัติศาสตร์ศิลปะ ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม ภูมิสถาปัตยกรรมและพืชพรรณ เพื่อถอดแบบองค์ประกอบสถาปัตยกรรม และทำโมเดลจำลองของโรงแรมดุสิตธานี ส่วนที่สามเป็น “การจัดกิจกรรมเผยแพร่คุณค่าของดุสิตธานี” ผ่านฝีแปรงจากศิลปินแห่งชาติ และศิลปินชั้นนำของไทยจำนวน 20 ท่าน เพื่อจัดแสดงนิทรรศการให้ชมกันเป็นครั้งแรกในโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ซึ่งกระบวนการทำงานวิจัยและอนุรักษ์ทุกขั้นตอน จะมีการรวบรวมข้อมูลและจัดทำเป็นหนังสือดิจิทัล เพื่อเผยแพร่ความรู้ให้เป็นสาธารณประโยชน์ต่อไป
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ “ดุสิตธานี” โรงแรมของคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ กำลังจะเปิดศักราชใหม่ในอีกไม่นานนี้ เพื่อสร้างชื่อเสียงและความภูมิใจให้ประเทศ.
ทีมข่าวหน้าสตรี