
นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ย.61 คณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. มีมติเห็นชอบให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) บริหารตลาดนัดจตุจักร ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 61 เพื่อแก้ไขปัญหาค่าเช่าแผงของผู้ค้าในตลาดนัดสวนจตุจักร โดยปัจจุบัน รฟท. ส่งเรื่องให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้ว และจะรายงานให้ ครม.รับทราบต่อไป จากนั้น รฟท. และ กทม. จะลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) เรื่องการโอนสิทธิ์บริหารจัดการตลาดนัดจตุจักรให้เร็วที่สุด ในเบื้องต้น กทม.จะจัดเก็บค่าเช่าแผง 1,800 บาทต่อแผงต่อเดือน จากเดิมที่ รฟท.จัดเก็บ 3,157 บาทต่อแผงต่อเดือน และ กทม. ต้องจ่ายค่าเช่าให้ รฟท.อีก 169 ล้านบาทต่อปี พร้อมปฏิบัติตามเงื่อนไขอีก 3-4 ข้อ
“คิดว่าไม่มีอะไรเสียหาย เป็นการปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล ที่ต้องการช่วยเหลือผู้ค้ารายย่อย ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจารายละเอียด และเขียนสัญญาให้รัดกุม โดยจะพยายามลงนามเอ็มโอยูภายในเดือน พ.ย.นี้ เพื่อให้สิทธิ์ กทม.ไปบริหารตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.นี้ จากนั้นจะลงนามสัญญากับ กทม.จะมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดังกล่าวเป็นไปตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนและการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ที่มีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เมื่อวันที่ 12 ก.ย.61 ที่เห็นชอบให้ลดค่าเช่าแผงตลาดนัดจตุจักรเหลือ 1,800 บาทต่อแผงต่อเดือน จาก 3,157 บาทต่อแผงต่อเดือน โดยหาก รฟท.บริหารและลดค่าเช่าแผงเอง จะทำให้กำไรสุทธิของตลาดนัดลดลงจากเฉลี่ย 213.29 ล้านบาทต่อปี เหลือ 58.67 ล้านบาทต่อปี แต่หากให้ กทม. บริหาร จะมีกำไรสุทธิเพียงพอและจ่ายค่าเช่าให้ รฟท.ได้ 169 ล้านบาทต่อปี ดังนั้น ครม. จึงเห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทยโอนความรับผิดชอบในการบริหารจัดการตลาดนัดจตุจักรโดยเร็ว
ทั้งนี้ กทม.ได้เคยบริหารจัดการตลาดนัดจตุจักรมาแล้วในช่วงปี 47-54 โดยมีรายได้สูงสุด 175 ล้านบาท และต่ำสุด 88 ล้านบาท โดย กทม. จ่ายค่าเช่าให้ รฟท.ต่ำสุดที่ 1.6 ล้านบาทต่อปี และสูงสุด 24 ล้านบาทเศษ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบมูลค่าเชิงพาณิชย์ และต่อมาปี 55-60 รฟท. ได้บริหารจัดการตลาดนัดดังกล่าวอีกครั้ง โดยมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นทุกปี จากปี 55 มีรายได้ 238 ล้านบาท และกำไร 85 ล้านบาท มาเป็นมีรายได้ 375 ล้านบาท และกำไร 177 ล้านบาทในปี 60.