
ภาคตลาดทุนเสนอจัดตั้งกองทุนใหม่ ได้เครดิตภาษีแทนกองทุน LTF หวังกระตุ้นให้ออมเงินในตลาดหุ้นระยะยาว ขณะที่ ธนาคารโลกชี้คนไทยออมเงินต่ำกว่าทุกกลุ่มประเทศ ห่วงคนวัยเกษียณมีเงินไม่พอใช้ หวังพึ่งแต่ลูกหลานก็ลำบาก เพราะมีรายได้ลดลงไม่พอเลี้ยงดูพ่อแม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้นโยบายและหารือร่วมกับหน่วยงานในตลาดทุน นำโดยนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ, นายรพี สุจริตกุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และคณะกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ที่นำโดยนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ทั้งนี้ นายไพบูลย์กล่าวว่า นายสมคิดได้ให้นโยบาย ให้ตลาดทุนไทยปรับตัว ด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขับเคลื่อน ทำให้ตลาดมีความน่าสนใจ ดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่ และให้ตลาดทุนไทยเชื่อมต่อกับโลกภายนอกมากขึ้นโดยหากลยุทธ์และวิธีสร้างการรับรู้ ที่ทำให้ต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุน ฯลฯ
ขณะที่ภาคตลาดทุน ได้เสนอให้ภาครัฐสนับสนุน ผลักดันให้เกิดการออมระยะยาว โดยเฉพาะการออมภาคบังคับกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) ที่สำคัญได้เสนอให้ตั้งกองทุนประเภทใหม่ เพื่อรองรับเงินออมในตลาดหุ้นที่อยู่ในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่จะถูกยกเลิกการให้สิทธิประโยชน์ภาษีในปีหน้า โดยกำหนดให้ผู้ที่ลงทุนในกองทุนใหม่นี้ได้รับเครดิตภาษี (Tax Credit) 20% ของเงินลงทุน หรือไม่เกิน 100,000 บาท หรือไม่เกินภาระภาษีของแต่ละคน โดยมีระยะเวลาลงทุนยาว 10 ปี ซึ่งการได้เครดิตภาษี 20% จะลดความเหลื่อมล้ำของผู้มีรายได้สูงและต่ำ ให้มีสิทธิเท่าเทียมกัน ที่สำคัญ เพื่อดึงดูดให้ประชาชนมีการออมเงินในหุ้นระยะยาว และต้องมีเงื่อนไขว่า กองทุนนี้ต้องลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และลงทุนหุ้นในกลุ่มหุ้นยั่งยืน ในสัดส่วน 50% ของพอร์ต
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แต่ผู้สูงอายุมีรายได้ไม่พอใช้จ่าย โดยแหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุมาจากลูกหลาน 34% แต่ลดลงจากปี 2550 ที่สัดส่วนรายได้จากลูกหลานอยู่ที่ 52% สะท้อนว่ารายได้จากลูกหลานลดลง ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงดูพ่อแม่วัยเกษียณ
ขณะที่เงินที่มาจากบำเหน็จบำนาญอยู่ที่ 5.9% แม้เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่อยู่ 4.4% แต่ระบบบำเหน็จบำนาญยังไม่เอื้อต่อการเก็บเงิน ทำให้การออมภาคบังคับ เป็นเรื่องจำเป็น จึงต้องมีกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) โดยขณะนี้ร่าง พระราชบัญญัติ กบช. คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในรัฐบาลชุดนี้ เพื่อช่วยลดภาระทางการคลังของประเทศ ที่ต้องใช้เงิน 700,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อใช้ดูแลกลุ่มผู้สูงอายุ
“ข้อมูลธนาคารโลก พบว่าประชากรไทยมีเงินออมรวมกันเพียง 7% ของอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทุกประเทศในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยมีตัวเลขการออม 19% ของจีดีพี ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้ว ประชากรมีเงินออม 50% ของจีดีพี”
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล หัวหน้าภาควิชาการธนาคารและการเงิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังออมเงินเพื่อการเกษียณน้อยมาก ขณะที่ระดับหนี้ต่อครัวเรือนยังสูง โดยมีหนี้ 70-80% ของรายได้ ขณะที่มีเงินออมเพียง 8-10% การออมที่เพียงพอควรออมอยู่ที่ 10-15% ของรายได้
นางณัฐญา นิยมานุสร ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า บริษัทที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้พนักงาน มีไม่ถึง 4% หรือ 380 กองทุน ถือว่าน้อยมาก โดยมีสมาชิกเพียง 3 ล้านคน และส่วนใหญ่สมาชิกเลือกแผนลงทุนที่ไม่เหมาะสม ทำให้ได้รับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหลังเกษียณไม่ถึง 1 ล้านบาท.