
เมื่อรัฐบาลเข็นกฎหมายออกมาด้วยความหวังดี ฝันใฝ่อยากให้คนไทยอยู่ภายใต้ตัวบทกฎหมาย เพื่อความปลอดภัย และสงบสุข แต่เจ้ากรรม เนื้อหาสาระของนโยบายบางตัวก็ชวนปวดหัว เวียนเศียรจนเอือมระอา จนเป็นที่มาให้คนไทยรู้รักจับมือสามัคคี โต้ต้านร้องลั่นสนั่นโซเชียล “ไม่เอา” “ไม่เห็นด้วย”
ทีมข่าวเจาะประเด็น ไล่เรียง 3 นโยบายที่ประชาชนทุบโต๊ะ ชี้ด่า พร้อมค้านหัวชนฝา “ไม่เอานโยบายนี้” จนภาครัฐต้องยอมถอยกรูดชะลอแผนไปยาวๆ หลบเสียงหลบอารมณ์บูดของประชาชน จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม
ไม่เริ่มต้นด้วยนโยบายนี้คงจะไม่ได้ เพราะเสียงก่นด่าตั้งแต่ชาวนา ชาวบ้าน พนักงานบริษัท ข้าราชการ สังคมไฮโซ โอ้โหไม่เว้นแม้แต่เด็กประถม ก็ยังหน้านิ่วคิ้วขมวด เกาหัวแกรกๆ “พี่คิดได้ไง...”
ต้นเดือนเมษายน รัฐบาลประกาศใช้ ม.44 เข้มงวดการใช้รถส่วนบุคคลและรถสาธารณะ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ แต่ที่พูดถึงเยอะก็คือ ห้ามนั่งกระบะท้าย และห้ามนั่งแค็บ
โดยรถกระบะที่จดทะเบียนเป็นรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (ป้ายสีขาว ตัวอักษรสีเขียว) และเดินทางบนถนนทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงระหว่างจังหวัด ทางหลวงระหว่างอำเภอ ทางหลวงชนบท และทางหลวงตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 “ห้าม” นั่งท้ายกระบะ มีความผิดฐานใช้รถผิดประเภท
ส่วนรถกระบะมีแค็บ “ห้าม” นั่งในแค็บ เพราะส่วนที่เป็นแค็บไม่ได้ออกแบบให้เป็นที่นั่ง แต่ไว้สำหรับใส่สิ่งของ มีความผิดฐานใช้รถผิดประเภท สำหรับกรณีนั่งท้ายรถกระบะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ดุลยพินิจ
จากนั้นกระแส “ทอล์กออฟเดอะทาวน์” ก็เกิดขึ้นทันที...
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังลั่นสนั่นโซเชียล วินาทีนั้นไม่มีใครไม่พูดถึงประเด็น “ห้ามนั่งท้ายกระบะ ห้ามนั่งแค็บ” ความสามัคคีร่วมมือร่วมใจของคนไทยก็บังเกิดขึ้น ทุกภาคฝ่ายร่วมกันต้านนโยบายดังกล่าว ชนิดหัวชนฝา! และไม่กี่ชั่วโมงถัดมา รัฐบาลต้องออกมาแสดงท่าทีว่า “ระงับนโยบายนี้ไปก่อน”
กระทรวงไอซีที ได้ไอเดียล้ำๆ จากไหนไม่สามารถระบุได้ แต่จุดประสงค์ของรัฐบาลก็คือ 1.รัฐจะเข้าควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนในประเทศ ทำให้สามารถคัดกรองข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนได้ รวมถึงป้องกันการเข้าถึงเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม
2.ส่งเสริมความมั่นคงในประเทศชาติ ยากต่อการก่อการร้าย เพราะรัฐบาลจะรู้ก่อน และ 3.ควบคุมข้อมูลข่าวสารที่หลั่งไหลจากต่างประเทศเข้ามาทางอินเทอร์เน็ต
ชาวเน็ตได้ฟังเข้าถึงกับต้องตบตักฉาดใหญ่ บ๊ะ บ๊ะ บ๊ะ...รัฐบาลจะบล็อก แบน สแกน การใช้งานอินเทอร์เน็ตของประชาชนคนไทยแบบนี้ได้อย่างไร เสรีภาพบนประชาธิปไตยอยู่ตรงไหนกัน!
ชาวเน็ตไม่รีรอ จับมือกันแสดงท่าทีคัดค้าน ต่อต้านกันทั้งชาติเลยก็ว่าได้ บ้างก็โพสต์ภาพไอคอนของระบบต่างๆ อาทิ สัญลักษณ์ของสัญญาณ Wi-Fi, เว็บเบราว์เซอร์, แอปพลิเคชัน LINE ฯลฯ ที่อยู่ในกะลาครอบ พร้อมทั้งระบุข้อความ “ไม่เอา ซิงเกิล เกตเวย์" เพื่อแสดงถึงการต่อต้านโครงการดังกล่าว
ไม่พอเท่านี้ แคมเปญต่อต้านการตั้ง ซิงเกิล เกตเวย์ บนเว็บไซต์ Change.org ยังมีผู้ลงชื่อต่อต้านโครงการดังกล่าว มากกว่า 70,000 รายชื่อ เกินเป้าหมายที่ ภูภู่ นักวาดการ์ตูนชื่อดังของไทย เจ้าของแคมเปญนี้ ตั้งเป้าไว้ตั้งแต่แรกว่าจะล่ารายชื่อให้ได้ 25,000 รายชื่อ
ส่วนการแสดงออกที่เป็นข่าวโด่งดังที่สุด คงจะหนีไม่พ้น "พลเมืองต่อต้าน Single Gateway" กลุ่มนักรบไซเบอร์ต่อต้านรัฐบาล ได้มีการนัดรวมตัวของกลุ่มชาวโซเชียลมีเดีย เข้าไปกด F5 (รีเฟรช) บนหน้าเพจสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ก่อนจะประกาศชัยชนะในเวลาต่อมา จนทำให้เว็บไซต์ของ สนช.ล่ม หรือไม่สามารถเข้าเว็บฯ ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ช่วงเวลาไม่ถึงเดือน รัฐมนตรีไอซีที ต้องออกมายันว่า รัฐบาลยังไม่ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับ single gateway และยังอยู่ในขั้นตอนศึกษาแนวทาง ไม่ได้ตั้งใจจะลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน
single gateway ก็เลยต้องพักยาวๆ ไปก่อน...
จนล่าสุดกับดราม่าใหม่ “ไม่มีใบขับขี่ คุก 3 เดือน ปรับ 5 หมื่น” และ “ไม่พกใบขับขี่ปรับ 1 หมื่น”
ที่มาที่ไปก็ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร เป็นเพราะประเทศไทยมีสถิติอุบัติเกิดขึ้นสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก จึงมีแนวคิดปรับแก้เพื่อลดปัญหาและเป็นไปตามสากล
แน่นอน ไม่ต้องเถียงให้มากความ คนใช้รถใช้ถนนปล่อยแฮน วางพวงมาลัยไว้ชั่วคราว ขอออกมาด่าเจ้าของไอเดียให้มันส์หยดติ๋ง บ้างก็ว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะทำให้ตำรวจเรียกรับผลประโยชน์ได้ง่ายขึ้น, แก้ปัญหาไม่ตรงจุด, คนจนจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย, รายได้ 300 ค่าปรับ 5 หมื่น จะหาสตางค์จากไหน นานาจิตตัง...
ไม่เกิน 3 วัน ตำรวจ และกรมการขนส่งทางบก ต้องจับมือออกมาจ้อ ออกมาแจงว่า “กฎหมายดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สนช.” นั่นเท่ากับว่า เสียงประชาชนเงียบซาเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน
และนี่ก็คือ 3 นโยบายดังเปรี้ยง แต่ไม่ปัง ต้องถอยหลังตั้งหลักหลบเสียงก่นด่าประชาชน...