
ที่พึ่งสุดท้ายของชาวไร่ชาวนาในคราวที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว เจ้าหนี้ตามทวงแล้วทวงอีก หรือมีเรื่องต้องใช้เงินแบบเร่งด่วน เช่น พ่อแม่ลูกหลานเจ็บป่วยไม่สบาย คนในครอบครัวประสบอุบัติเหตุร้ายแรง ต้องการเงินส่งลูกเรียนหนังสือ ก็คือการขายที่ทำมาหากินของตัวเอง
ทยอยตัดขายที่ดินไปทีละส่วนๆ เพราะรายได้ไม่พอรายจ่าย ไม่ต้องพูดถึงเงินออมเงินเก็บ เนื่องด้วยการทำเกษตรมีความเสี่ยงสูง ทั้งจากความผันผวนของราคา โรคและแมลงระบาด ภัยธรรมชาติน้ำท่วม ภัยแล้ง รวมไปถึงความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐที่มักจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ดังนั้น การทำเกษตรจึงจัดอยู่ในประเภท “1 ปีดี 3 ปีเจ๊ง” จนในที่สุดก็ต้องสูญเสีย “ที่ดินผืนสุดท้าย” ไป แปรสภาพจาก “เจ้าของ” เป็น “ผู้เช่า” ในที่นาที่ตนเองเคยเป็นเจ้าของมาก่อน เป็นความเจ็บปวดกล้ำกลืนฝืนทน ไม่อาจสู้หน้าแม้กระทั่งกับพระแม่ธรณีที่สถิตในผืนดินที่บรรพบุรุษเคยสร้างไว้ให้ได้
มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา เห็นชอบให้แก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป่าไม้ มาตรา 7 ให้ประชาชนสามารถตัดไม้ทุกชนิดในที่ดินกรรมสิทธิ์ของตนเองได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประเทศที่ปลดล็อกให้ตัดไม้หวงห้าม เช่น สัก พะยูง ชิงชัน ในที่ดินกรรมสิทธิ์ของตนเองได้แล้ว
ใครที่ปลูกไม้มีค่าเหล่านี้ไว้ก่อนหน้านี้ กลายเป็นเศรษฐีได้เพียงชั่วข้ามคืนเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ ซึ่งคาดว่าอาจจะประมาณปลายปีนี้ ส่วนใครที่มีที่ดินกรรมสิทธิ์ของตนเองที่ไม่ได้ปลูกไม้มีค่าไว้ก็ยังไม่สายที่จะลงมือปลูกเสียแต่วันนี้ เป็นการออมเงินในอากาศที่จะเพิ่มขึ้นตามกาลเวลาในทุกวัน เมื่อมีเหตุฉุกเฉินต้องใช้เงินก็ตัดไม้ขายได้ เป็นปราการด่านสำคัญก่อนที่จะต้องสูญเสียที่ดินทำกินไป
หากวางแผนปลูกไม้มีค่าไว้ในวันที่ลูกคลอด ผ่านไป 18 ปีในวันที่ลูกต้องเข้ามหาวิทยาลัย ก็มีทุนสะสมที่จะส่งเสียให้ลูกเรียนได้อย่างสบาย ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินหรือขายวัว ขายควาย ขายที่นาส่งลูกเรียน
นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศและต่อโลกที่จะมีพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้น สิ่งแวดล้อมจะดีขึ้น ที่สำคัญคือ ในอนาคตจะช่วยลดการใช้เงินภาษีของประเทศไปชดเชยช่วยเหลือภาคเกษตรจากมาตรการแทรกแซงราคา เพราะเมื่อชาวบ้านเห็นว่าการปลูกไม้มีค่าได้เงินดีจะหันมาปลูกไม้กันมากขึ้น และลดการปลูกพืชเชิงเดี่ยวลง ปริมาณผลผลิตก็จะไม่ล้นตลาด
ทั้งนี้ เพื่อให้การปลูกไม้มีค่าได้ผลอย่างคุ้มค่า การปลูกไม้แบบทิ้งขว้างคงไม่ใช่ คำตอบ แต่จะต้องเสริมหลักวิชาการเข้าไป ทั้งเรื่องพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ทนต่อโรคและแมลง การดูแลตัดแต่งอย่างถูกวิธี รวมไปถึงการสร้างระบบจัดเก็บข้อมูลการปลูกไม้มีค่าของประเทศอย่างเป็นระบบ สามารถตรวจสอบแยกแยะไม้ป่ากับไม้บ้านได้เพื่อไม่ให้เกิดการนำไม้ในป่ามาสวมตอ
นอกจากนี้ยังต้องดูเรื่องการตลาดต่อเนื่องด้วย เช่น การตั้งโรงงานเฟอร์นิเจอร์ในพื้นที่ หรือการสร้างกลุ่มของชาวบ้านผลิตเฟอร์นิเจอร์จากไม้มีค่าขึ้นมา เป็นต้น ซึ่งต้องอาศัยการฝึกอบรม การให้ความรู้เรื่องการออกแบบ การรักษาเนื้อไม้ การใช้เครื่องมือเครื่องจักร เป็นต้น
ดูเหมือนในแง่นโยบายครั้งนี้ที่รัฐบาลออกมาจะตอบโจทย์แบบได้ประโยชน์กันทุกฝ่าย แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายสำหรับคนที่ไม่มีที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง ซึ่งจะไม่ได้รับอานิสงส์จากการแก้ไขกฎหมายในรอบนี้ แถมอาจจะถูกนายทุนไม่ให้เช่าที่นาต่อเพราะจะเอาไปปลูกไม้มีค่าแทน ซึ่งตัวเลขของเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเองมีเป็นจำนวนมาก
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ได้สำรวจลักษณะการถือครองที่ดินเพื่อทำการเกษตรเมื่อปี 2556 หรือเมื่อ 5 ปีที่แล้วพบว่า มีพื้นที่ทำการเกษตรทั่วประเทศจำนวน 149.24 ล้านไร่ ในส่วนนี้ประมาณ 77.64 ล้านไร่ หรือ 52% เป็นพื้นที่เช่า อีก 71.59 ล้านไร่เป็นพื้นที่ของเกษตรกรเอง แต่ในจำนวนนี้มี 29.72 ล้านไร่ติดจำนอง และอีก 115,000 ไร่อยู่ในกระบวนการขายฝากซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่ที่ดินจะหลุดจากมือของเกษตรกร
คาดว่าตัวเลขการถือครองที่ดินของเกษตรกรในปัจจุบันจะน้อยลงไปอีก เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 5 ปี ราคาพืชผลมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง
นับเป็นความปรารถนาดีแต่ยังไปไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะคนระดับล่างกลุ่มใหญ่ของประเทศ ดังนั้นจึงเป็นอีกโจทย์ข้อใหญ่ที่รัฐบาลจะต้องหาทางปลดล็อกอีกชั้นหนึ่งให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้รับอานิสงส์ในครั้งนี้ด้วย หากต้องการให้ยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศบรรลุเป้าหมาย.
สมพิศ ศรีนาค