13ปีที่รอคอย เมล์เอ็นจีวีทดสอบฉลุย เปิดตัวพร้อมวิ่ง 26มี.ค.นี้

ขสมก. เผยผลทดสอบรถเมล์เอ็นจีวี 3 วันผ่านฉลุย เหลือเพียงขั้นตอนตรวจรับอย่างเป็นทางการ เตรียมจัดงานเปิดตัววันที่ 26 มี.ค.นี้ ชี้รถเมล์ใหม่ช่วยลดต้นทุนลง 50% และเพิ่มรายได้อีก 10% เป็นความหวังขององค์กรดันคุณภาพบริการดีขึ้น

นายประยูร ช่วยแก้ว รักษาการผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการจัดหารถโดยสารประจำทางที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (รถเมล์เอ็นจีวี) จำนวน 489 คัน วงเงิน 4,261 ล้านบาท ที่มีกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO ประกอบด้วยบริษัท สแกนอินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN และบริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) หรือ CHO เป็นผู้ชนะการประมูลว่า ตามเงื่อนไขการประมูล (ทีโออาร์) กำหนดให้ ขสมก.ต้องสุ่มรถเมล์เอ็นจีวี 2% หรือประมาณ 10 คัน ออกวิ่งทดสอบสมรรถนะก่อนตรวจรับอย่างเป็นทางการ โดยขณะนี้ ขสมก.ได้สุ่มรถเมล์เอ็นจีวี 2 คัน จากลอตแรกทั้งหมด 100 คัน ออกวิ่งทดสอบสมรรถนะระหว่างวันที่ 14-16 มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งการทดสอบมีผลน่าพอใจและไม่มีปัญหาใดๆ

ขณะเดียวกัน ในวันที่ 17-18 มี.ค.นี้ ทางกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO จะทยอยนำรถเมล์ 100 คันแรก ออกจากโรงงานประกอบ จ.ชลบุรี เพื่อส่งให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ตรวจสอบและจดทะเบียน จากนั้นในวันที่ 19-20 มี.ค. จะทยอยส่งมอบให้ ขสมก. เพื่อเริ่มกระบวนการตรวจรับอย่างเป็นทางการ โดย ขสมก.จะต้องตรวจสเปกและอาจนำไปวิ่งทดสอบอีกครั้งระหว่างวันที่ 22-27 มี.ค. โดยคณะกรรมการตรวจรับฯ จะประชุมสรุปผลอย่างเป็นทางการไม่เกินวันที่ 27 มี.ค.นี้

“จากการนำรถออกวิ่งทดสอบระหว่างวันที่ 14-16 มี.ค. ถือว่าผ่านฉลุย รอเพียงให้คณะกรรมการตรวจรับอย่างเป็นทางการ เบื้องต้น ขสมก. กำลังประสาน เชิญผู้ใหญ่ร่วมเปิดตัวรถเมล์ใหม่อย่างเป็นทางการในวันที่ 26 มี.ค.นี้ โดยวางแผนจะนำรถ 100 คันแรกไปบรรจุในเขตการเดินรถที่ 5 บริเวณถนนพระราม 2 จำนวน 7 เส้นทาง เมื่อได้รับรถครบ 489 คันก็จะนำไปบรรจุใน 25 เส้นทางทั่วกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม การจัดหารถเมล์เอ็นจีวีใหม่ 489 คัน จะส่งผลให้รถเมล์ ขสมก.มีคุณภาพบริการดีขึ้น ประชาชนได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น สามารถรองรับรถวีลแชร์ได้ นอกจากนี้ ยังมีส่วนสำคัญต่อการปฏิรูปและผลการดำเนินงานของ ขสมก.”

นายประยูร กล่าวต่อว่า รถเมล์ใหม่จะมีต้นทุนการบำรุงรักษาลดลงประมาณ 40% จาก 1,500-1,600 บาทต่อคันต่อวัน เหลือ 925 บาทต่อคันต่อวัน, ต้นทุนเชื้อเพลิงลดลงเกือบ 50% จากเดิมมีต้นทุนน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 3,000 บาทต่อคันต่อวัน เมื่อเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงเอ็นจีวีอยู่ที่ 1,700-1,800 บาทต่อคันต่อวัน ด้านความแน่นอนและประสิทธิภาพอยู่ที่ 100% จากเดิมไม่ค่อยแน่นอน เพราะเป็นรถเก่าอายุกว่า 20 ปี โดยคาดว่าจะทำให้รายได้เพิ่มขึ้น 10% จาก 6,000 บาทต่อคันต่อวัน เป็นเกือบ 7,000 บาทต่อคันต่อวัน

นอกจากนั้น ในวันที่ 22 มี.ค.นี้ คณะกรรมการบริหารกิจการ (บอร์ด) ขสมก. มีวาระพิจารณาแผนฟื้นฟูฉบับปรับปรุง โดยประเด็นหลักที่บอร์ดสั่งให้ปรับปรุงเพิ่มเติม คือรายละเอียดด้านการเงินที่ให้องค์กรอยู่รอดในระยะยาว และการทำให้พนักงานรับรู้และเข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลง และถ้าหากบอร์ด ขสมก.เห็นชอบก็จะเสนอแผนฟื้นฟูให้กระทรวงคมนาคมและคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามขั้นตอน จากนั้นจึงเปิดประมูลรถเมล์ลอตถัดไปได้ โดยการประมูลรถลอตถัดไปจะเป็นเชื้อเพลิงไฮบริด เพราะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับทิศทางของโลกที่มีแนวโน้มไปทางเชื้อเพลิงไฟฟ้ามากขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการจัดหารถเมล์เอ็นจีวีนั้น ริเริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี 2548 สมัย ที่มีนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เป็น รมว.คมนาคม เพื่อทดแทนรถเมล์เก่า 2,000 คัน ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนการจัดหารถเมล์มาเป็นเช่าและเพิ่มการจัดหารถเป็น 6,000 คัน และปรับลดเหลือ 4,000 คัน และในปี 2556 สมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โครงการจัดหารถเมล์เอ็นจีวีก็ยังไม่สำเร็จ แม้จะมีการปรับลดจำนวนรถเหลือ 3,183 คัน และมาล่าสุดในยุครัฐบาลชุดปัจจุบันได้ปรับลดจำนวนรถเมล์เอ็นจีวี เหลือเพียง 489 คันเท่านั้น และสามารถจัดหาได้แล้วเสร็จพร้อมส่งมอบให้ ขสมก.ลอตแรกได้ รวมใช้ระยะเวลากว่า 13 ปีที่เริ่มโครงการ.