“สนธิรัตน์” ขนทัพนักธุรกิจไทยโกอินเตอร์ บุกฮ่องกง รัสเซีย อิหร่าน ฝันหวานขยายหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ และดึงเข้าลงทุนในพื้นที่อีอีซี ด้านคณะกรรมาธิการวิสามัญแจ้ง ครม.ตีกรอบ พ.ร.บ.อีอีซี อุดช่องโหว่กฎหมายด่วน พร้อมแนะกำหนดหลักเกณฑ์การยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมแลกเปลี่ยนเงินตราให้ชัดระหว่างนิติบุคคลกับส่วนบุคคล
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ปี 61 นี้มีแผนเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อขยายการค้าและการลงทุนตามนโยบายหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มอบนโยบายให้กระทรวงพาณิชย์ใช้ขยายการค้าการลงทุนกับประเทศคู่ค้าที่มีโอกาสขยายตัวได้อีก โดยมุ่งเน้นดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ของไทย
“การเดินทางเยือนต่างประเทศปีนี้ จะเชิญนักธุรกิจไทยเข้าร่วมคณะไปเจรจาการค้า การลงทุน รวมถึงพบปะกับรัฐบาล และนักธุรกิจของประเทศที่ไปเยือน เพื่อเชิญชวนให้นักลงทุนในประเทศเป้าหมายเข้ามาลงทุนในพื้นที่อีอีซีซึ่งเป็นโครงการที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศในอนาคต และการเดินทางไปต่างประเทศช่วงกลางเดือน มี.ค.นี้ จะเริ่มจากไปฮ่องกงก่อน เพราะเป็นเมืองที่มีศักยภาพและไทยยังสามารถใช้ประโยชน์จากเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) อาเซียน-ฮ่องกง ที่จะเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในการส่งออกสินค้าไปขายได้ เพราะฮ่องกงมีความสำคัญในการเข้าไปสู่ตลาดจีน ดังนั้นจึงต้องมีการเจรจาเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ รวมถึงมอบหมายให้ทีมที่ปรึกษาเดินทางไปเยือนไต้หวัน ซึ่งเป็นประเทศที่ไทยต้องการขยายการค้าและการลงทุนเข้าไปด้วย”
นอกจากนี้ เดือน พ.ค.มีกำหนดการเดินทางไปเยือนรัสเซียต่อ หลังจากที่ รมช.พาณิชย์ของรัสเซีย เดินทางมาเยือนไทยในช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา พร้อมนำคณะนักธุรกิจประมาณ 200 ราย มาไทยและลงพื้นที่อีอีซี เพื่อดูสถานที่จริงก่อนตัดสินใจลงทุน ซึ่งการไปเยือนรัสเซียครั้งนี้ ก็เพื่อสานต่อการค้า-การลงทุนที่ไทยและรัสเซียได้มีการเจรจาร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง และเดือน ก.ค.จะเดินทางไปเยือนอิหร่านต่อ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ด้านการค้าร่วมกัน
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้ประชุมคณะกรรมการร่วมการค้าไทย-กัมพูชา (เจทีซี) ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนที่จะเน้นการเจรจาการค้ากับประเทศที่มีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก โดยในส่วนของกัมพูชา ปี 63 ตั้งเป้ามีการค้าร่วมกันมูลค่า 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ดังนั้นปี 61 จะต้องผลักดันให้มูลค่าการค้าทั้งสองฝ่ายขยายตัวให้ได้ประมาณ 30% ขึ้นไป เพื่อให้เป็นไปตามแผน
ด้านนายวิทยากร มณีเนตร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฮ่องกง กล่าวว่า การเดินทางมาฮ่องกงของ รมว.พาณิชย์ มีกำหนดการที่จะพบปะกับผู้บริหารระดับสูงของฮ่องกง ก่อนเชิญนักธุรกิจฮ่องกงประมาณ 40 ราย เยือนประเทศไทยและลงพื้นที่อีอีซี โดยนักธุรกิจที่จะเชิญมาอยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (เอสเคิร์ฟ) และอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ข้าว ผลไม้ อัญมณี สตาร์ตอัพ กลุ่มนวัตกรรมอุปกรณ์รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
ขณะที่นายมีธรรม ณ ระนอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กล่าวว่า การเดินทางไปดูงานที่เกาหลีใต้ครั้งนี้ ได้เข้าเยี่ยมชมศูนย์วิจัยและพัฒนาบริษัท เคที เทเลคอม จำกัด ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ของเกาหลีใต้ ที่มีนักวิจัยประมาณ 600 คน พร้อมหารือกับผู้บริหารเคที เทเลคอม เพื่อชักชวนให้เข้าไปลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ดิจิทัล ไทยแลนด์ พาร์ค ตั้งอยู่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งนักลงทุนเกาหลีสนใจ พร้อมพัฒนาความร่วมมือทั้งด้านการพัฒนานวัตกรรมและปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) รวมถึง Internet of things : IOT ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ร.บ.อีอีซี) โดยในส่วนของการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขใน พ.ร.บ.อีอีซี กรณีที่ผู้ประกอบการได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราตามมาตรา 58 นั้น คณะกรรมการนโยบายควรกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขสำหรับผู้ประกอบการที่เป็นนิติบุคคลและบุคคลแยกต่างหากจากกัน เพื่อป้องกันไม่ให้อาศัยสิทธิพิเศษที่ได้รับตาม พ.ร.บ.อีอีซีเป็นช่องทางในการนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศได้ง่ายจนปราศจากการควบคุมหรือนำไปใช้จ่ายในกิจการที่ไม่เป็นไปตามที่ได้รับอนุญาต
ส่วนเรื่องการประกาศให้บุคคลผู้มีความรู้ ความสามารถพิเศษได้รับการลดหย่อนภาษีตามมาตรา 51 วรรค 1 นั้น เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เมื่อคณะกรรมการนโยบายประกาศออกมาแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เป็นไปตามมติ ครม.และมีผลในทางปฏิบัติจะได้เกิดประโยชน์สูงสุด.