
นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นไปในรูปแบบคลัสเตอร์รองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 นโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบซุปเปอร์ คลัสเตอร์ แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) มูลค่าโครงสร้างพื้นฐาน 101 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 342,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2560-2564 สนข. จึงว่าจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาและวิเคราะห์ เพื่อจัดทำแผนพัฒนาระบบการขนส่งเน้นการศึกษาใน 7 จังหวัดคือ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี ซึ่งอยู่ในพื้นที่ซูเปอร์ คลัสเตอร์ (Super Cluster) และสระแก้ว จันทบุรี ตราด ซึ่งเป็นประตูการค้าสำคัญในชายฝั่งทะเลตะวันออก
สำหรับวงเงินงบประมาณโดยรวมส่วนใหญ่จะใช้ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมีทั้งโครงการต่อขยายและโครงการใหม่ เช่น การเชื่อมโยงทางหลวงหมายเลข 7 กับท่าเรือแหลมฉบัง, ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 7, ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 เป็นต้น แต่วงเงินดังกล่าวยังไม่รวมโครงการรัฐเอกชนร่วมลงทุน (PPP) หรือโครงการที่ยังไม่มีความชัดเจน
เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-พัทยา-ระยอง เชื่อม 3 ท่าอากาศยาน วงเงิน 219,000 ล้านบาท, โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) มูลค่า 14,000 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งที่ 3 ของท่าอากาศยานอู่ตะเภา มูลค่า 43,000 ล้านบาท
“คาดว่าจะส่งรายงานฉบับสมบูรณ์ให้คณะกรรมการบริหารอีอีซีพิจารณาได้ภายในกลางเดือน ก.ย.นี้ จากนั้นจะเสนอให้คณะกรรมการนโยบายอีอีซีที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิจารณา ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบตามลำดับ โดยการศึกษาฉบับนี้จะเป็นแผนแม่บทการพัฒนาระบบการขนส่งในอีอีซีและแผนการใช้งบประมาณใน 5 ปีข้างหน้า”
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า หากมีการพัฒนาตามแผนงานดังกล่าว ทั้งการพัฒนาเมือง ภาคอุตสาหกรรม และภาคการท่องเที่ยวแล้วเสร็จจะส่งให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้น 4% ในปี 2564 และ 4.9% ในปี 2569 ส่วนจีดีพีของพื้นที่ 3 จังหวัดในอีอีซี คาดว่าจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ 18% ในปี 2564 และ 40% ในปี 2569 นอกจากนี้ จะสามารถลดต้นทุนการขนส่งทางถนนได้ 2.67% และการขนส่งทางรางได้ 19.83%