พาณิชย์ ชี้เหตุราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ เหตุเพราะผลผลิตมีมากเกิน เร่งบูรณาการความร่วมมือกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำว่า ลดลงเป็นไปตามกลไกตลาด หลังจากที่โรงกลั่นและผู้ผลิตไบโอดีเซล มีสต๊อกน้ำมันปาล์มจำนวนมาก ประกอบกับ ภาวะการค้าน้ำมันพืชปาล์มเพื่อการบริโภคไม่คล่องตัว แม้ราคาจำหน่ายลดลงเหลือขวดละ 34–36 บาท ตามราคาผลปาล์มสด จากราคาเพดานที่กำหนดสูงสุดไม่เกินขวดละ 42 บาท ทำให้โรงกลั่นไม่เร่งรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ
ขณะเดียวกัน โรงสกัดซึ่งมีสต๊อกคงเหลือจำนวนมาก ต้องระบายน้ำมันปาล์มออกจากสต๊อก ด้วยการจำหน่ายในราคาที่ต่ำลง จึงทำให้ราคารับซื้อผลปาล์มสดต่ำลงตามไปด้วย ไม่ได้เกิดจากกลุ่มพ่อค้าฉวยโอกาสกดราคารับซื้อแต่อย่างใด แต่ได้ขอความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ช่วยกันทำให้ราคาปาล์มไม่ตกต่ำ
"ผลผลิตปาล์มน้ำมันที่เข้าสู่โรงสกัดในปี 60 นี้ มีปริมาณมาก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 59 ซึ่งเดือน เม.ย. เพิ่มขึ้น 20.7% เดือน พ.ค. เพิ่มขึ้น 35.36% และเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้น 26.12% ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันปาล์มที่โรงสกัดผลิตได้ ในแต่ละเดือนมีมากเกินกว่าความต้องการใช้ของโรงกลั่นและผู้ผลิตไบโอดีเซล ทำให้มีสต๊อกน้ำมันปาล์มคงเหลือเป็นจำนวนมาก"
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ ได้เร่งแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการให้คณะทำงานตรวจสอบสต๊อกน้ำมันปาล์มคงเหลือทั้งระบบระดับจังหวัด ออกตรวจสอบปริมาณน้ำมันปาล์มคงเหลือของโรงกลั่น โรงสกัด ผู้ผลิตไบโอดีเซล คลังรับฝาก ผู้ซื้อน้ำมันพืชปาล์มเพื่อจำหน่าย และผู้ซื้อเพื่อใช้น้ำมันปาล์ม พร้อมกันทุกจังหวัดในช่วง 3 วันสุดท้ายก่อนสิ้นเดือน เป็นประจำทุกเดือน เพื่อใช้ประกอบการวางแผนบริหารจัดการสมดุลน้ำมันปาล์ม
ทั้งนี้ พบว่าน้ำมันปาล์มมีสต๊อกคงเหลือเพิ่มมากขึ้น นับแต่เดือน เม.ย. 60 สอดคล้องกับผลผลิตปาล์มน้ำมันที่เข้าสู่โรงสกัด จึงประสานกรมธุรกิจพลังงาน ให้ปรับสัดส่วนการใช้น้ำมันปาล์มดิบผลิตเป็นไบโอดีเซล (บี100) ผสมในน้ำมันดีเซล จาก บี5 เป็น บี7 ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมาแล้ว
นอกจากนี้ ได้จัดประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มด้านการตลาด เพื่อแก้ปัญหาราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มแบบยั่งยืน ด้วยการพัฒนาคุณภาพปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ให้ซื้อขายผลปาล์มน้ำมันตามคุณภาพเปอร์เซ็นต์น้ำมัน ซึ่งจะสร้างความเป็นธรรม และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร
พร้อมทั้งขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดแหล่งผลิต ตั้งคณะทำงานเพื่อกำกับดูแล ตรวจสอบการรับซื้อ เข้มงวดกวดขันการติดป้ายแสดงราคา และกำหนดมาตรการเพื่อไม่ให้นำผลปาล์มที่ไม่ได้คุณภาพกลับเข้าสู่โรงสกัดได้อีก รวมถึงขอความร่วมมือสภาเกษตรกรจังหวัด
ทั้งนี้ เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจเกษตรกรในพื้นที่เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพปาล์มน้ำมัน โดยการดูแลรักษาสวนปาล์มเพิ่มผลผลิตต่อไร่จาก 2.5 ตัน เป็น 3 ตัน และการตัดปาล์มสุก จะทำให้ได้เปอร์เซ็นต์น้ำมันเพิ่มขึ้น เช่น จาก 16-17% เป็น 18% จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นทันที เนื่องจาก 1 เปอร์เซ็นต์ของน้ำมันที่เพิ่มขึ้น จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 300 บาทต่อตัน รวมแล้วจะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มถึงไร่ละ 3,350 บาท และมอบหมายให้ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เร่งรัดการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การปฏิรูปปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม โดยเฉพาะด้านมาตรฐานให้เป็นมาตรการบังคับ และเร่งเสนอร่าง พ.ร.บ.ปาล์มน้ำมันฯ มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย
ส่วนการบริหารระดับสต๊อกน้ำมันปาล์มคงเหลือ ได้ขอให้กรมธุรกิจพลังงาน ประสานผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ให้ปรับเพิ่มสำรองไบโอดีเซล (บี100) มากขึ้น จากปกติอยู่ที่ 13 ล้านลิตร หรือใช้ปาล์ม 11,050 ตัน เป็น 68 ล้านลิตร ในเดือน มิ.ย. 90 ล้านลิตร ในเดือน ก.ค. และ 120 ล้านลิตร ในเดือน ส.ค. หรือใช้ปาล์ม 102,000 ตัน ซึ่งจะช่วยให้ปริมาณน้ำมันปาล์มในระบบลดน้อยลง
นอกจากนี้ ยังได้ขอให้กรมศุลกากร เข้มงวดในการนำเข้า นำผ่าน หรือผ่านแดนน้ำมันปาล์ม เพื่อป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มอย่างเข้มงวดและต่อเนื่องอีกด้วย