รัฐบาลมาเลเซีย เตรียมประกาศใช้นโยบายขึ้นค่าแรงครั้งใหม่ อัดฉีดเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท ผลักดันธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กขึ้นค่าแรงช่วยคนรายได้น้อย หลังจากประสบปัญหาค่าแรงไม่เติบโตช่วงที่ผ่านมา
Nikkei Asia รายงานว่า รัฐบาลมาเลเซีย เตรียมประกาศใช้นโยบายขึ้นค่าแรงครั้งใหม่ ในอัตราก้าวหน้า เพื่อช่วยเหลือแรงงานที่มีรายได้น้อย หลังจากประสบปัญหาค่าแรงไม่เติบโตช่วงที่ผ่านมา
โดยนโยบายขึ้นค่าแรงงานครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมนโยบายค่าแรงขั้นต่ำที่มีอยู่แล้ว ซึ่งมุ่งเป้าไปที่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งประกอบไปด้วยแรงงานส่วนใหญ่ของประเทศ
ทั้งนี้นโยบายดังกล่าว จะเป็นการเพิ่มค่าแรงแบบอัตราก้าวหน้า โดยนายจ้างจะทยอยขึ้นค่าแรง ซึ่งแปรผันไปตามตามทักษะ ประสบการณ์ และผลงานของแรงงาน
อย่างไรก็ตาม ในระยะแรกนโยบายนี้จะดำเนินไปโดยความสมัครใจ และจะให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ภาคธุรกิจ เพื่อผลักดันให้บริษัทต่างๆ ขึ้นค่าแรง ภายใต้งบประมาณ 2 พันล้านริงกิต (1.5 หมื่นล้านบาท) ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อแรงงาน 1.05 ล้านคน โดยจะเริ่มนำร่องนโยบาย ซึ่งมีบริษัทเข้าร่วมทั้งหมด 1,000 บริษัท ในช่วงมิถุนายน ปี 2567
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Rafizi Ramli รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจมาเลเซีย เปิดเผย สถิติเงินเดือนของมาเลเซีย ซึ่งระบุว่า 47% ของแรงงานในประเทศ มีรายได้น้อยกว่าเส้นความยากจนซึ่งอยู่ที่ 2,589 ริงกิต (19,500 บาท) ต่อเดือนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566
“ค่าแรงที่ต่ำมีผลกระทบร้ายแรง ต่อการดำรงชีวิตของแรงงานในประเทศ โดยเงินเดือนส่วนใหญ่ถูกใช้เพื่อเข้าถึงความต้องการขั้นพื้นฐานและการออมเงินเพียงเล็กน้อย”
ก่อนหน้านี้ในปี 2555 มาเลเซียได้ประกาศใช้นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ ทำให้ปัจจุบันมีค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 1,500 ริงกิต (11,300 บาท) ต่อเดือน แต่นโยบายดังกล่าวได้บีบการขยายตัวของค่าแรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ค่าแรงในกลุ่มแรงงานฝีมือและแรงงานกึ่งฝีมือไม่เติบโต
โดยค่าตอบแทนสำหรับเด็กจบใหม่ที่เข้าสู่ตลาดแรงงานลดลง 21.4% เป็น 1,624 ริงกิต (12,200 บาท) ต่อเดือน ในปี 2565 จาก 2,066 ริงกิต (15,600 บาท) ต่อเดือนในปี 2562
สอดคล้องกับรายงานของ World Bank ในเดือนตุลาคม ที่ระบุว่า ช่องว่างค่าแรงระหว่างแรงงานที่มีทักษะต่ำและทักษะสูงในมาเลเซีย นั้นกว้างขึ้น โดยเพิ่มขึ้น 37.4% จาก 1,800 ริงกิต (13,500 บาท) ต่อเดือน ในปี 2553 เป็น 2,474 ริงกิต (18,600 บาท) ต่อเดือน ในปี 2564 นอกจากนี้การเติบโตของค่าจ้างที่แท้จริงระหว่างปี 2554-2564 อยู่ที่ 2.4% น้อยกว่าเวียดนามและไทย ซึ่งอยู่ที่ 4.0% และ 3.1% ตามลำดับ
Juita Mohamad ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐศาสตร์และธุรกิจ ของสถาบันเพื่อประชาธิปไตยและเศรษฐกิจ (IDEAS) มาเลเซีย ให้ความเห็นว่า ผลกระทบของนโยบายขึ้นค่าแรงทั้งต่อธุรกิจท้องถิ่น และธุรกิจต่างชาติจะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากการดำเนินนโยบายเป็นไปโดยสมัครใจ และยังไม่มีการกำหนดขอบเขตภาคอุตสาหกรรมและอาชีพที่จะทำการขึ้นค่าแรง อีกทั้งโดยปกติบริษัทต่างชาติมีการให้อัตราค่าจ้างที่สูงกว่า บริษัทในประเทศอยู่แล้ว
ทำให้ในระยะสั้นค่าแรงจะเพิ่มขึ้นจากเรตค่าแรงขั้นต่ำเพียงเล็กน้อย หากนโยบายค่าจ้างกลายเป็นข้อบังคับ และกำหนดเป้าหมายตามภาคส่วนและอาชีพ จะช่วยเพิ่มค่าจ้างและผลผลิตในระยะกลางถึงระยะยาว ทั้งนี้ต้องควบคู่ไปกับการฝึกอบรมทักษะตามความต้องการของแรงงาน
อ้างอิง