International Institute for Management Development (IMD) สถาบันจัดอันดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ จากสวิตเซอร์แลนด์ เผย รายงานจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางเทคโนโลยีดิจิทัล (World Digital Competitiveness Ranking) ประจำปี 2566 ซึ่งทำการสำรวจใน 64 ประเทศ เพื่อวัดความสามารถและความพร้อมในการปรับใช้และสํารวจเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม
ข้อมูลจากรายงานพบว่า ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 32 โดยร่วงลง 3 อันดับจากปีก่อน และเป็นอันดับที่ต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 2560 ในขณะที่ประเทศเอเชียเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีใต้อยู่ในอันดับที่ 6 ไต้หวันอันดับที่ 9 และจีนในอันดับที่ 19 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาความสามารถทางเทคโนโลยีดิจิทัลญี่ปุ่น เรียกได้ว่าตามหลังประเทศเพื่อนบ้านอย่างไม่เห็นฝุ่น
โดยปีนี้อันดับของญี่ปุ่นนำหน้าเพียงประเทศมาเลเซีย ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 33 และ คาซัคสถาน อันดับที่ 34 ส่วนประเทศไทยที่ปีนี้ขยับขึ้น 5 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 35
ปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งความสามารถทางเทคโนโลยีดิจิทัลของญี่ปุ่นให้ตกต่ำลง มาจากปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีศักยภาพสูง และเงินทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง
แม้ในช่วงที่ผ่านมาญี่ปุ่นจะพยายามเพิ่มอัตราค่าจ้าง เพื่อดึงดูดแรงงานต่างชาติทักษะสูงที่มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตชิป แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก เนื่องจากค่าจ้างและความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ยังตามหลังสหรัฐฯ และประเทศในยุโรป นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังล้มเหลวในการใช้ประโยชน์จาก Big data เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ด้านสหรัฐฯ กลับมาครองแชมป์อันดับ 1 อีกครั้ง โดยได้รับแรงหนุนจากการอิทธิพลการเติบโตแบบก้าวกระโดดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Generative AI) นำโดย OpenAI บริษัทที่อยู่เบื้องหลังแชตบอตอัจฉริยะ ChatGPT รวมถึง Google และ Meta นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังได้รับคะแนนสูงในด้านการวิจัยและพัฒนาตลอดจนการสนับสนุนทุนวิจัย
อ้างอิง