3 ประเด็นการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลและนัยต่อเศรษฐกิจไทย

Economics

Analysis

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

3 ประเด็นการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลและนัยต่อเศรษฐกิจไทย

Date Time: 3 ก.ค. 2566 10:47 น.

Video

"ROCTEC กับการเติบโตครั้งสำคัญ เมื่อ BTS เข้าถือหุ้น" | Money Issue

Summary

  • รัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญกับการใช้เม็ดเงินภาษีให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและปฏิรูปภาษีให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับแผนการใช้จ่าย ในขณะที่ภาคธุรกิจควรติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด และเตรียมปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลใหม่

Latest


นับเป็นเวลากว่า 3 เดือนแล้ว ที่มีการประกาศยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่การเปลี่ยนผ่านของรัฐบาลยังเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามว่ารัฐบาลใหม่จะมีองค์ประกอบอย่างไร การจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะเสร็จสิ้นภายในช่วงเวลาใด และนโยบายเศรษฐกิจใหม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วจะกระทบเศรษฐกิจไทยอย่างไร

ประเด็น 1 : แกนนำจัดตั้งรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล

พรรคใดจะได้จัดตั้งรัฐบาล ใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีท่านใหม่ เป็นคำถามสำคัญที่ชาวไทยเฝ้าจับตามองมาตั้งแต่วันเลือกตั้ง รูปแบบการจัดตั้งรัฐบาลที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นเป็นลำดับแรก คือ

"กรณีฐาน" พรรคก้าวไกลที่มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุดเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูง เนื่องจากพรรคอาจไม่สามารถรวบรวมคะแนนเสียงจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาได้มากเพียงพอเกิน 376 เสียง เพื่อสนับสนุนให้เป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล

อีกทั้ง ยังมีปัญหาข้อกฎหมายกรณีหุ้น ITV ที่ยังไม่มีข้อสรุป หากพรรคก้าวไกลไม่สามารถรวบรวมคะแนนเสียงได้มากถึง 376 เสียง พรรคเพื่อไทยซึ่งมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากเป็นอันดับสองอาจมีโอกาสขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้

นอกจากนี้ ยังมี "กรณีอื่น" ที่มีความเป็นไปได้ ได้แก่ กรณีที่มีพรรคการเมืองได้รับเสียงสนับสนุนมากเพียงพอจากวุฒิสภาให้ขึ้นมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แม้จะไม่ได้รับเสียงจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากเพียงพอ หรือกรณีที่ไม่มีพรรคใดสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ทำให้สภาผู้แทนราษฎรต้องเชิญบุคคลนอกรายชื่อแคนดิเดตนายกขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี

ทั้งสองกรณีนี้จะทำให้รัฐบาลใหม่ขาดเสถียรภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน มีความเสี่ยงต่อการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ และอาจทำให้ต้องพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ภายในเวลาไม่นาน ตลอดจนมีความเสี่ยงที่จะเกิดการชุมนุมทางการเมืองขนาดใหญ่ เนื่องจากเป็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่สอดคล้องกับเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนตามผลการเลือกตั้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนได้

ประเด็น 2 : ระยะเวลาที่ใช้ในการจัดตั้งรัฐบาล

ความไม่แน่นอนของระยะเวลาในการจัดตั้งรัฐบาลเป็นอีกประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะประเด็นการจัดทำร่าง พ.ร.บ. งบประมาณประจำปีงบประมาณ 2567 ซึ่งจะเป็นรากฐานในการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐในช่วงเดือนตุลาคม 2566 - กันยายน 2567

ในกรณีดีที่สุด ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พร้อมปฏิบัติหน้าที่ได้ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งจะทำให้การประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีงบประมาณ 2567 ล่าช้าเพียง 2 – 3 เดือน หรือในกรณีฐาน SCB EIC ประเมินว่า ไทยจะได้รัฐบาลใหม่ภายในเดือนสิงหาคม ซึ่งจะทำให้การจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีงบประมาณ 2567 ล่าช้าราว 3 – 4 เดือน

การใช้จ่ายภาครัฐของทั้งสองกรณีนี้จะส่งผลลบต่อแรงสนับสนุนเศรษฐกิจไม่มากนัก เนื่องจากกฎหมายอนุญาตให้ใช้งบประมาณตาม พ.ร.บ.งบประมาณเดิมไปพลางก่อนได้ในช่วงเตรียมการออก พ.ร.บ.งบประมาณปีงบประมาณใหม่ที่ล่าช้า และหน่วยงานภาครัฐจะสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณใหม่ก่อนสิ้นปีงบประมาณ 2567 ได้ทัน

อย่างไรก็ดี การจัดตั้งรัฐบาลใหม่อาจยืดเยื้อถึงเดือนตุลาคม 2566 ส่งผลให้ไทยมีรัฐบาลรักษาการที่ไม่มีอำนาจเต็มนานถึง 7 เดือน หน่วยงานภาครัฐมีแนวโน้มจะชะลอการดำเนินโครงการบางประเภทออกไปก่อน โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีผลผูกพันงบประมาณหลายปี อีกทั้ง ภายหลัง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับใหม่ประกาศใช้แล้วหน่วยงานภาครัฐจะไม่สามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้ทันก่อนสิ้นปีงบประมาณได้

นอกจากนี้ ภาวะสุญญากาศการเมืองที่เกิดขึ้นจะบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว อีกทั้ง รัฐบาลรักษาการจะไม่สามารถให้ดำเนินนโยบายช่วยเหลือประชาชนได้อย่างเต็มที่ หากเกิดวิกฤติรุนแรงขึ้นอีกครั้ง

ประเด็น 3 : นโยบายของรัฐบาลใหม่

ขณะที่สองประเด็นข้างต้นเกี่ยวกับแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล และประเด็นระยะเวลาที่ใช้ในการจัดตั้งรัฐบาล จัดว่าเป็นความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยในช่วงสิ้นปีนี้ถึงปีหน้า แต่ประเด็นนโยบายของรัฐบาลใหม่จัดว่าเป็นความไม่แน่นอนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าและในระยะยาว

ในขณะที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าพรรคการเมืองใดจะได้เป็นผู้นำคณะรัฐบาลใหม่หรือเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่จะได้ผลักดันนโยบายหาเสียงในกระทรวงใด ซึ่งแต่ละพรรคการเมืองต่างนำนโยบายหาเสียงหลากหลายมานำเสนอประชาชนไว้ เช่น การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การลดความเหลื่อมล้ำ การให้เงินอุดหนุนโดยตรงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การเพิ่มสวัสดิการครบวงจร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

หรือการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญคือ สังเกตได้ว่านโยบายที่รัฐบาลใหม่นำมาปฏิบัติจริงอาจแตกต่างจากนโยบายหาเสียง ยกตัวอย่างรัฐบาลที่ผ่านมาก็ไม่ได้ดำเนินหลายนโยบายตามที่ได้ให้คำสัญญาไว้ เช่น การขยายอายุเกษียณเป็น 63 ปี การยกระดับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 – 425 บาทต่อวัน การลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลงจากเดิม 10%

สุดท้ายนี้ แม้จะยังไม่แน่ว่าโครงการใดจะถูกนำมาใช้ในรูปแบบใด แต่คาดว่าภาครัฐจะมีการใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมากเพื่อบริหารราชการตามปกติ และทำตามคำสัญญาที่ให้กับประชาชนไว้ ซึ่งจะส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นมาก และกระทบต่อความยั่งยืนทางการคลังของประเทศ

นอกจากนี้ นโยบายในแต่ละชุดจะส่งผลกระทบต่อแต่ละภาคเศรษฐกิจไม่เหมือนกัน เช่น นโยบายเพิ่มรายได้และลดค่าครองชีพ (อาทิ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การสร้างสวัสดิการครบวงจร) จะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง อาหารและเครื่องดื่ม

ขณะที่ธุรกิจที่มีสัดส่วนแรงงานขั้นพื้นฐานที่ได้ค่าแรงขั้นต่ำเป็นสัดส่วนสูง เช่น ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง การผลิตอาหาร และสิ่งทอ จะได้รับผลกระทบทางลบ หรือนโยบายรักษาสิ่งแวดล้อมที่จะส่งผลดีต่อกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน แต่อาจส่งผลลบต่อกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ที่จะต้องปรับตัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ดังนั้น รัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญกับการใช้เม็ดเงินภาษีให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และปฏิรูปภาษีให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับแผนการใช้จ่าย ในขณะที่ภาคธุรกิจควรติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด และเตรียมปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลใหม่

บทความโดย
วิชาญ กุลาตี
นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
eic@scb.co.th | EIC Online: www.scbeic.com 


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ