สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าสำรวจคนไทย ช็อปออนไลน์กระฉูด

นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้สำรวจความเห็นของประชาชน 7,499 คน ทุกอำเภอทั่วประเทศ เกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภครอบ 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.64) ใน 13 กลุ่มสินค้าพบว่ามีมูลค่าใช้จ่ายสูงถึง 75,000 ล้านบาทต่อเดือน เพิ่มขึ้น 45.05% จากที่เคยสำรวจช่วงเดือน พ.ย.63 ที่มีมูลค่า 52,000 ล้านบาทต่อเดือน และซื้อออนไลน์เพิ่มขึ้น 68.97% จากการสำรวจครั้งก่อน สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคนิวนอร์มอลที่ประชาชนซื้อสินค้าผ่านออนไลน์กันมากขึ้น สำหรับสินค้าทั้ง 13 กลุ่ม

พบว่า กลุ่มเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ ได้รับความนิยมสูงสุด รองลงมา คือ อาหารและเครื่องดื่ม, สินค้าสุขภาพ เครื่องสำอาง ของใช้ส่วนบุคคล, ของใช้ในบ้าน สำนักงาน, เครื่องใช้ไฟฟ้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์มือถือ,เครื่องกีฬา เครื่องเขียน, เพลง ภาพยนตร์ และสินค้าบันเทิงอื่นๆ, ซอฟต์แวร์ เกม, การจอง/บริการต่างๆ, คอมพิวเตอร์, ของเล่น, หนังสือนิตยสาร ทั้งนี้ โทรศัพท์และอุปกรณ์มือถือ เป็นสินค้าที่มีสัดส่วนใช้จ่ายออนไลน์สูงสุด

นอกจากนี้ สนค.ยังได้สำรวจช่วงอายุของผู้ซื้อสินค้าออนไลน์พบว่าผู้ที่เคยซื้อสินค้าออนไลน์มากที่สุดอยู่ในช่วงอายุ 20-29 ปี คิดเป็น 87.00% ของกลุ่มตัวอย่าง รองลงมาน้อยกว่า 20 ปี คิดเป็น 85.71% และอายุ 30-39 ปี คิดเป็น 80.13% สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนในเจน Y และเจน Z ที่เติบโตมาพร้อมเทคโนโลยีที่ส่งผลให้สามารถเรียนรู้ และปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว

นายภูสิตกล่าวต่อว่า หากพิจารณาถึงปริมาณการใช้จ่ายพบว่าใกล้เคียงกัน กลุ่มอายุที่มียอดใช้จ่ายเฉลี่ยสูงสุดคือ อายุ 20-29 ปี ราว 2,379.30 บาทต่อเดือน รองลงมา อายุ 50-59 ปี 2,349.00 บาทต่อเดือน หากจำแนกตามอาชีพ จำนวนผู้ใช้จ่ายออนไลน์สูงสุด คือ นักศึกษา คิดเป็น 92.88% โดยเฉพาะกลุ่มโทรศัพท์และอุปกรณ์มือถือและคอมพิวเตอร์ รองลงมา คือ ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ พนักงานรัฐ 84.57% พนักงานบริษัท 84.36% แต่กลุ่มอาชีพที่จ่ายเงินซื้อสินค้าออนไลน์มากสุด คือ ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ พนักงานรัฐและนักธุรกิจ เจ้าของกิจการ เจ้าของแผงค้า สอดคล้องกับความมั่นคงในอาชีพและการเงิน หากจำแนกตามภูมิภาคพบว่ากรุงเทพฯ และปริมณฑลใช้จ่ายผ่านออนไลน์มากที่สุด 81.62% ตามด้วยภาคใต้ 71.68%, ภาคกลาง 68.25%, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 67.86% และภาคเหนือ 64.42%.