Grab เผยคนไทยสั่งส้มตำ-ชาเย็นหลักสิบล้านแก้ว ใช้คนละครึ่งเป็นที่พึ่ง เรียกรถไปมูออกเมืองรองมากขึ้น

Business & Marketing

Marketing & Trends

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

Grab เผยคนไทยสั่งส้มตำ-ชาเย็นหลักสิบล้านแก้ว ใช้คนละครึ่งเป็นที่พึ่ง เรียกรถไปมูออกเมืองรองมากขึ้น

Date Time: 16 ธ.ค. 2568 17:17 น.

Video

จาก "รวยเงิน จนเวลา" สู่เกษียณ 35! ของพอล ภัทรพล? l Money Secret EP.13

Summary

  • Grab เผยข้อมูล “เทรนด์ที่สุดแห่งปี 2025” รวมสถิติจากบริการการเดินทางและสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน Grab
  • บริการเรียกรถยังคงได้รับความนิยมทั้งในลูกค้าคนไทยและต่างชาติ เดินทางไปท่องเที่ยวเมืองรอง และสถานที่ขอพร
  • บริการฟู้ดเดลิเวอรีได้รับแรงหนุนจากโครงการคนละครึ่ง ยอดสั่งส้มตำทะลุ 16 ล้านจาน ชาเย็นกว่า 11 ล้านแก้ว

Latest


Grab (แกร็บ) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเรียกรถและฟู้ดเดลิเวอรีเผยข้อมูล “เทรนด์ที่สุดแห่งปี 2025” รวมสถิติจากบริการการเดินทางและสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน Grab พบมีข้อมูลที่น่าสนใจคือ บริการเรียกรถยังคงได้รับความนิยมทั้งในลูกค้าคนไทยและต่างชาติ แม้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะชะลอตัวลงในปีนี้ แต่บริการเรียกรถยังเติบโต โดยเฉพาะการเดินทางไปท่องเที่ยวเมืองรอง และสถานที่ขอพร ในขณะที่บริการฟู้ดเดลิเวอรีได้รับแรงหนุนจากโครงการคนละครึ่ง ตลอดจนใช้ส่วนลดและจองผ่านแอปฯ เพื่อไปรับประทานในร้านอาหารมากขึ้น


เรียกรถไปมู

Grab เผยว่า “เทวาลัยพระพิฆเนศ” บริเวณสี่แยกห้วยขวาง กลายเป็นฮอตสปอตแห่งใหม่ที่มาแรง ด้วยยอดเรียกรถที่เติบโตขึ้นถึง 678% เนื่องจากคนไทยสายมู รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมไปไหว้เพื่อขอพรเรื่องความสำเร็จและเสริมสิริมงคลให้กับชีวิต 

นอกจากนี้ยังมี พระบรมมหาราชวัง ถนนข้าวสาร และเยาวราช ขึ้นแท่นเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งบริการเรียกรถของ Grab นี้ยังคงได้รับความนิยมทั้งกับคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมี 3 จุดหมายปลายทางหลักที่ผู้ใช้นิยมเดินทางไปมากที่สุดอีก นั่นคือ สนามบิน สถานีขนส่ง และห้างสรรพสินค้า 


เที่ยวเมืองรอง

ในด้านเมืองท่องเที่ยว นอกจากจังหวัดใหญ่ ๆ อย่างเชียงใหม่ ภูเก็ตและพัทยาแล้ว จังหวัดเมืองรองก็ยังคงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ด้วยอานิสงส์ของนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล ทั้งโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” หรือมาตรการ “เที่ยวดีมีคืน” 

โดย 5 จังหวัดเมืองรองที่มียอดใช้บริการเรียกรถสูงที่สุด คือ อุดรธานี อุบลราชธานี เชียงราย พิษณุโลก และนครสวรรค์  ขณะที่นครนายก ถือเป็นจังหวัดที่มาแรงที่สุดด้วยยอดเรียกรถที่เติบโตขึ้นกว่า 9 เท่า เนื่องจากเดินทางใกล้ สามารถไปเช้าเย็นกลับได้ และมีแหล่งท่องเที่ยวไฮไลท์สำคัญอย่างเขื่อนขุนด่านปราการชล น้ำตกนางรอง อุทยานวังตะไคร้ รวมถึงทุ่งบัวแดง


อีเวนท์-เทศกาลดึงนักท่องเที่ยว

นอกจากนี้ เทศกาลเชิงวัฒนธรรมและอีเวนท์ยังถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการเดินทางและท่องเที่ยว โดยปีนี้ เทศกาลลอยกระทง โดยเฉพาะประเพณียี่เป็งในจังหวัดเชียงใหม่ มียอดเรียกใช้บริการเติบโตขึ้นถึง 44% รองลงมาคือ เทศกาลสงกรานต์ 

ในฝั่งของงานอีเวนท์ คอนเสิร์ตของทั้งศิลปินไทยและเทศก็ยังคงส่งผลให้ยอดใช้บริการเรียกรถเติบโตขึ้น โดยเฉพาะคอนเสิร์ต BLACKPINK WORLD TOUR  IN BANGKOK ทำให้ยอดเรียกรถเพื่อเดินทางไปราชมังคลากีฬาสถานเติบโตขึ้นเกือบ 5 เท่าจากช่วงปกติ


คนจีนยังใช้บริการมากที่สุด

แม้ว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะชะลอตัว แต่บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ยังถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกหลักที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเลือกใช้บริการ โดย 5 ชาติที่ใช้บริการมากที่สุด คือ จีน สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ อังกฤษ และมาเลเซีย 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงโกลเด้นวีคหรือวันชาติจีน มีนักท่องเที่ยวจีนใช้บริการมากขึ้นกว่าช่วงปกติเกือบ 50% ขณะที่นักท่องเที่ยวจากประเทศจอร์เจียถือเป็นกลุ่มที่มาแรงที่สุดด้วยยอดใช้บริการที่เติบโตขึ้นกว่า 10 เท่า


นอกจากนี้ ยังมีอีกเหตุผลที่ทำให้ยอดบริการเรียกรถเติบโตขึ้น คือการเพิ่มฟีเจอร์เรียกรถในราคาประหยัดอย่าง SAVER ทั้งรถยนต์ (GrabCar SAVER) และรถจักรยานยนต์ (GrabBike SAVER) ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายด้วยยอดใช้บริการที่เติบโตขึ้นกว่า 289% สะท้อนถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่มองหาตัวเลือกของบริการในราคาที่ถูกลงในยุคที่ทุกคนต้องรัดเข็มขัด 

บริการจองรถล่วงหน้า (Advance Booking) ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราการเติบโตสูงกว่า 50% โดยผู้ใช้บริการส่วนใหญ่นิยมเรียกใช้เพื่อเดินทางไปสนามบิน ขณะที่ฟีเจอร์รักษ์สิ่งแวดล้อมอย่าง Grab EV Rides ค้นหารถ EV เพื่อให้บริการเป็นตัวเลือกแรก ยังได้รับความสนใจจากผู้ใช้บริการ โดยสะท้อนผ่านยอดเรียกใช้บริการที่เติบโตขึ้นถึง 58%


ส้มตำ-ชาเย็น ยอดสั่งถล่มทลาย

ตามรายงานของ Grab ระบุว่า “ส้มตำ” ยังคงครองแชมป์เมนูที่ขายดีที่สุดด้วยยอดสั่งกว่า 16 ล้านจานต่อปี โดยเฉพาะส้มตำปูปลาร้าที่มียอดสั่งสูงที่สุด รองลงมาคือ “ข้าวมันไก่” ด้วยยอดขายกว่า 1.5 ล้านจาน จากกระแสไวรัลของ Gundum Effect ในญี่ปุ่นที่ส่งผลมาถึงความนิยมของเมนูข้าวมันไก่ในประเทศไทย และตามมาด้วย “ลาบหมู” ด้วยยอดขายกว่า 1 ล้านจาน 

ส่วนเครื่องดื่มขายดีในปีนี้ คือเมนู “ชาเย็น” (ทั้งชาไทยและชานมไข่มุก) มาแรงแซงหน้าแชมป์เก่าอย่างอเมริกาโนเย็น ด้วยยอดสั่งรวมทั้งปีกว่า 11 ล้านแก้ว จากอิทธิพลของลิซ่าที่ร่วมทำคอลแลปกับ Erawhon ในชื่อเมนู “Thai up the World by Lisa” จนกลายเป็นไวรัลไปทั่วโลก รองลงมาคือเมนู “ชาเขียว” ด้วยยอดขายกว่า 9 ล้านแก้ว จากกระแสมัตจะฟีเวอร์ที่ขาดตลาดจนกลายเป็นไวรัลข้ามปี ขณะที่ “อเมริกาโนเย็น” ตกมาอยู่อันดับสามด้วยยอดสั่งรวมกว่า 8 ล้านแก้ว


เมนูไวรัล ยอดสั่งพุ่ง

เมนูขายดีในกลุ่มเบเกอรีปีนี้ คือ “ชิโอะปัง” หรือขนมปังเกลือที่มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น ไปดังในเกาหลี จนไวรัลมาถึงไทย ด้วยยอดขายที่เติบโตขึ้นกว่า 36 เท่า ขณะที่ 
“ชาองุ่นเคียวโฮปั่นครีมชีส” มาแรงสุดในกลุ่มเครื่องดื่มด้วยยอดขายที่เติบโตขึ้นกว่า 17 เท่า และยังมีเมนู “แฮนด์โรล” ที่มาแรงด้วยประสบการณ์การกินแบบโอมากาเสะในราคาที่เข้าถึงง่าย โดยมียอดสั่งที่เติบโตขึ้นกว่า 300%

นอกจากนี้ การคอลแลปกันระหว่างแบรนด์ (Collaboration Marketing) ยังคงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างสีสันและความแปลกใหม่ในปีที่ผ่านมา โดยเมนูคอลแลปที่ขายดีที่สุดในปีนี้ คือ โปรเจกต์ “Proudly, Made in Thailand” ที่แบรนด์ทาร์ตไข่อย่าง YOLK ได้ร่วมกับ 4 แบรนด์ไทย ทั้งโอ้กะจู๋ โรงคั่วกาแฟทรงวาด แก้วบูทีค และเจี้ยนชา ออกแบบ 4 เมนูใหม่สร้างความภาคภูมิใจให้คนไทย จนสามารถดันให้ยอดขายเติบโตขึ้น 48 % ต่อวันเลยทีเดียว


ซื้อดีลผ่านแอปฯ กินที่ร้าน

นอกจากการสั่งอาหารผ่านฟู้ดเดลิเวอรีแล้ว เทรนด์การกินที่ร้านก็เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้ใช้บริการเลือกซื้อดีลส่วนลดและใช้บริการจองร้านผ่านแอปพลิเคชันในโอกาสพิเศษหรือไปรับประทานอาหารกันเป็นกลุ่ม 

โดย 3 ประเภทร้านที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ บุฟเฟต์ ร้านปิ้งย่าง และร้านอาหารญี่ปุ่น ขณะที่ร้านที่มาแรงที่สุดแห่งปี คือ “Kanori Hand Roll Bar” ที่ถือเป็นผู้บุกเบิกร้านแฮนด์โรลสไตล์ญี่ปุ่นเจ้าแรกในไทย ด้วยยอดขายเติบโตกว่า 5 เท่าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา


คนละครึ่งพลัสตัวช่วยมื้อเที่ยง

โครงการที่มาแรงที่สุดแห่งปีคงหนีไม่พ้น “คนละครึ่งพลัส“ ที่ช่วยกระตุ้นยอดขายให้ผู้ประกอบการร้านอาหารทั้งหน้าร้านและผ่านเดลิเวอรี โดยผู้บริโภคนิยมใช้คนละครึ่งพลัสสั่งอาหารในมื้อเที่ยงมากที่สุด โดยมียอดสั่งเฉลี่ยประมาณ 80-120 บาทต่อออเดอร์ 

โดยคนกรุงเทพฯ ครองแชมป์การใช้คนละครึ่งพลัสผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรีมากที่สุด ขณะที่ร้านอาหารที่ขายดีที่สุดผ่านแกร็บคือ “สยามกะเพราคาเฟ่ - บรรทัดทอง” โดยมียอดขายเติบโตเฉลี่ยสูงกว่าปกติถึง 14 เท่า



ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney 



Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ