
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ในปี 2567 แม้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น แต่รายได้ยังต่ำกว่าเป้าหมาย
“ท่องเที่ยวทรุด” “ต่างชาติเที่ยวไทยวูบ” นี่อาจเป็นคำอธิบายสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยที่หลายคนมองว่าแม้ภาครัฐและเอกชนพยายามจับมือร่วมกัน แต่สุดท้ายภาพรวมอุตสาหกรรมก็ยังคงฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะปี 2567 แม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวโดยรวมเพิ่มขึ้นแต่ภาพรวมรายได้ยังต่ำกว่าคาด
โครงสร้างดีมานด์ที่เปราะบางแบบเดิมสะท้อนให้เห็นว่าการพึ่งพาตลาดหลักอย่าง “จีน” ซึ่งเคยเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของไทยกว่า 10 ล้านคนต่อปี ตอนนี้กลับเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างชัดเจน ทั้งจากกำลังซื้อที่หดตัว การเดินทางแบบประหยัด และการแข่งขันอย่างรุนแรงจากจุดหมายปลายทางอื่นในเอเชียอย่างญี่ปุ่น เวียดนาม และสิงคโปร์ โดยเฉพาะการดึงดูดคนจีนให้กลับมาเที่ยวในประเทศบ้านเกิดของตนเองโดยรัฐบาลจีนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้กระแสความนิยมท่องเที่ยวในจีนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ตลาดยักษ์ใหญ่อย่างรัสเซียและยุโรปบางส่วนยังได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ทำให้การใช้จ่ายลดลง ขณะที่ไทยยังเผชิญปัญหาเชิงระบบ เช่น โครงสร้างราคาสินค้าและบริการที่สูงขึ้น ภาพลักษณ์ความปลอดภัย ความล่าช้าของระบบขนส่ง และการขาดแคลนแรงงานบริการ สิ่งเหล่านี้ทำให้รายได้ต่อหัวไม่เติบโตตามเป้า
บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าในช่วงเวลาที่ตลาดดั้งเดิมชะลอตัว นี่อาจเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ภาคท่องเที่ยวไทยอาจต้องมองหาโอกาสใหม่ เส้นทางใหม่ “รีเซ็ตวิธีคิด” จากการแย่งชิงจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มเดิมไปสู่การจับตลาดใหม่ๆ ที่คุณภาพสูงกว่าและสร้างความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากกว่าเดิมอย่างแท้จริง
ปัจจุบันหนึ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ภาคท่องเที่ยวไทย รวมถึงผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ คือ กลุ่ม “GIFT+” ที่ย่อมาจาก GIFT+ = Gulf + India + Far East Plus ประกอบด้วย
ข้อมูลจากศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ระบุไว้ว่า นักท่องเที่ยวกลุ่ม GIFT+ ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวโดยตรงอย่างธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ห้างค้าปลีก และขนส่ง เพียงเท่านั้น แต่ธุรกิจอื่นๆ อาทิ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจการแพทย์และการดูแลสุขภาพก็มีแนวโน้มจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของกำลังซื้อต่างชาติไปด้วยเช่นกัน
โดยจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่ม GIFT+ ที่เดินทางเข้าไทยในช่วงปี 2566-2567 อยู่ที่ 12.2 และ 18.5 ล้านคน คิดเป็น 45-50% จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าครึ่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพใช้จ่ายสูงและขยายตัวเร็ว
ทั้งนี้หนึ่งในนักท่องเที่ยวกลุ่ม GIFT+ ที่เติบโตอย่างโดดเด่นมีบทบาทสูงขึ้นในฐานะ “Thailand Tourism New Curve” ที่ภาคท่องเที่ยวบ้านเราตั้งใจผลักดันเรื่องรายได้จากคุณภาพ (Quality Tourism) มากกว่าการแข่งขันในเชิงปริมาณหรือตัวเลขนักท่องเที่ยว นั่นก็คือ ตลาดนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง (Gulf) ที่กำลังแทนที่ตลาดจีนและโตเร็วกว่าคาด
เมื่อมองไปในตลาดโลกผู้เล่นที่เติบโตเร็วและชัดที่สุดในปี 2567-2569 คือ นักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง (Middle East) หรือกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council : GCC) ได้แก่ โอมาน, กาตาร์, คูเวต, บาห์เรน, ซาอุดีอาระเบีย และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE ที่เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยว “คุณภาพสูงที่สุด” ในภาพรวมการท่องเที่ยวไทย โดยมีลักษณะเด่นที่ภาคธุรกิจควรเข้าใจ
นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปอยู่ในระดับที่สูงกว่าเอเชียตะวันออกเฉลี่ย 2–3 เท่า ข้อมูลจากศูนย์วิจัยด้านการตลาดท่องเที่ยว (TAT Intelligence Center) ของ ททท. พบว่าในปี 2567 นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคตะวันออกกลางมีการใช้จ่ายสูงสุดเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 89,622 บาท/คน/ทริป โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจาก UAE ซาอุดีอาระเบีย และคูเวต โดยมี UAE สูงสุดเป็นอันดับ 1 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 100,612 บาท/คน/ทริป
นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีความเป็นสังคมครอบครัวนิยม (Family-Oriented Travel) มักเดินทาง 5-10 คนต่อทริปทำให้มีความต้องการที่พักที่กว้างขวาง เป็นส่วนตัว และเข้าใจวิถีมุสลิม เช่น มีร้านอาหารฮาลาล พื้นที่ละหมาด มีพนักงานบริการที่พูดภาษาอาหรับได้ มีพื้นที่กิจกรรมสำหรับครอบครัวที่เน้นความสะดวกสบาย โดยส่วนใหญ่จะเลือกเข้าพักโรงแรมระดับ 4-5 ดาวไปจนถึงพูลวิลล่าส่วนตัว ทำให้รายได้ต่อครอบครัวสูงมาก
นอกจากนี้ระยะเวลาเที่ยวเฉลี่ยจะอยู่ที่ 7-12 คืนต่อทริป หรือบางกลุ่มที่พักยาว 14-16 วัน โดยกว่า 60% คือ First-Time Visitors หรือเดินทางมาไทยเป็นครั้งแรก ทำให้มีศักยภาพกลับมาเที่ยวซ้ำตลอดทั้งปี โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวและกลุ่มวัยรุ่นไปจนถึงกลุ่มแบ็กแพ็กเกอร์
นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มักจะใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์การท่องเที่ยวระดับพรีเมียม ทั้งร้านอาหารระดับพรีเมียมและกิจกรรมไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะด้าน Medical & Wellness หรือการท่องเที่ยวเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและฟื้นฟูสุขภาพระยะยาว ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายที่ขึ้นชื่อเรื่องความทันสมัยและเชื่อถือได้เรื่องแพทย์เฉพาะทางและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มักจะนิยมเดินทางมาใช้บริการหลากหลายประเภทในไทย เช่น การพักผ่อนระดับหรู สปา แพทย์ความงามและชะลอวัย
นอกจากนี้ยังชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวัฒนธรรม โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลของประเทศไทย จากข้อมูลยังสะท้อนให้เห็นว่านอกจากกรุงเทพฯ ภูเก็ต พังงา กระบี่ และ เชียงใหม่ นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ให้ความสนใจท่องเที่ยว “เมืองรอง” มากขึ้น เช่น หัวหิน ขอนแก่น บุรีรัมย์
ปัจจุบันไทยถือเป็นอันดับต้นๆ ของจุดหมายปลายทางที่ชาวตะวันออกกลางชื่นชอบในเอเชีย แซงคู่แข่งหลายประเทศ เช่น มัลดีฟส์ ตุรกี อินโดนีเซีย ในหลายกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะ Wellness, Medical และ Luxury Travel
ตลาดท่องเที่ยวตะวันออกกลางฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในเชิงปริมาณจากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 38.90% นำโดยตลาดขนาดใหญ่อย่าง ซาอุดีอาระเบีย และ UAE ที่นำฟื้นตัวทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพด้วยการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
สถิติล่าสุดจากกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา ณ วันที่ 22 เม.ย. 2568 ระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางเข้าไทยอยู่ที่ 162,790 คน นำโดยซาอุดีอาระเบียที่มีอัตราการเติบโตถึง 15.26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับตลอดทั้งปี 2568 ททท. ได้ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและแอฟริกาจำนวนรวม 1.1 ล้านคนที่จะสร้างรายได้กว่า 98,000 ล้านบาทให้ประเทศไทย
หลังไทยฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับซาอุดีอาระเบีย นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั้งด้านจำนวนและรายได้ ขณะที่สายการบินจากอ่าวอาหรับอย่าง Emirates, Etihad Airways, Qatar Airways รวมถึง Saudia Airlines ต่างขยายเส้นทางสู่วงการท่องเที่ยวไทย ส่งสัญญาณดีมานด์ระยะยาวที่ชัดเจนมาก
ทั้งนี้ภาคการท่องเที่ยวไทยล่าสุด ททท. ได้ตั้งเป้าใหญ่ในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเดินทางของภูมิภาคอาเซียน และมีรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าประเทศ ภายใต้นโยบาย “Value over Volume” ผ่านมาตรการสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นการขยายเส้นทางบินตรงและเพิ่มความถี่เที่ยวบิน โดยร่วมมือกับผู้ให้บริการสายการบินเพื่อเชื่อมเมืองรอง-เมืองท่องเที่ยวไทยโดยตรง
โดยล่าสุดได้ประกาศเปิดตัวแคมเปญใหญ่ “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOC) ร่วมกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง Dnata Travel ผู้ให้บริการด้านการเดินทางรายใหญ่ของตะวันออกกลาง และสายการบินระดับโลก 2 ราย ประกอบด้วย Emirates, Etihad Airways เพื่อขยายเครือข่ายการเดินทาง เชื่อมต่อเส้นทางระหว่างภูมิภาคตะวันออกกลางและไทย ดึงนักท่องเที่ยวระดับพรีเมียมเข้ามาในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ตลอดจนการจัดกิจกรรมส่งเสริมธุรกิจ สมาคม และผู้ประกอบการไทยเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการ พัฒนามาตรฐาน Halal-friendly ในระดับประเทศเพื่อผลักดันไทยเป็น “Muslim Friendly Destination Hub”
สรุปแล้วนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคนี้แม้มีจำนวนไม่มาก แต่กลับสร้างรายได้ “สูงกว่าเท่าตัว” เมื่อเทียบกับตลาดหลักดั้งเดิม หลายประเทศใน GCC มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริประดับ 80,000-90,000 บาท มีระยะเวลาพำนักยาวและนิยมใช้บริการที่มีมูลค่าสูงและยังเป็นฐานลูกค้าที่ช่วยกระจายประโยชน์ไปสู่เมืองรองและธุรกิจเฉพาะทาง ที่ไทยต้องการผลักดัน
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดตะวันออกกลางไม่ได้เป็นเพียง “ตลาดเสริม” อีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น “หัวใจ” ของยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวไทยยุคใหม่ที่ต้องสร้างความมั่นคงรายได้ กระจายความเสี่ยง และผลักดันเม็ดเงินท่องเที่ยวสู่ระดับ New High ในปีต่อไปหลังจากนี้
ที่มาข้อมูล TAT Intelligence Center , TAT
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -