TikTok จับหน้า-จับเสียง “เจนนี่”จริงหรืออุปาทานหมู่? แบรนด์ต้องรู้อะไรบ้างก่อนลงทุนจ้างไลฟ์สด

Business & Marketing

Marketing & Trends

พิมพ์ชญา ภมรพล

พิมพ์ชญา ภมรพล

Tag

TikTok จับหน้า-จับเสียง “เจนนี่”จริงหรืออุปาทานหมู่? แบรนด์ต้องรู้อะไรบ้างก่อนลงทุนจ้างไลฟ์สด

Date Time: 16 ต.ค. 2568 19:59 น.

Video

เมื่อเด็ก ป.6 (11 ขวบ) สร้างรายได้ "หลักแสน" แซงหน้าคนทำงาน! l Money Secret EP.12

Summary

“เทศกาลเจนนี่” และพลังไลฟ์สดออเดอร์ร้อยล้าน ค่าจ้าง-ความเสี่ยง และจุดคุ้มทุนที่แบรนด์ต้องรู้ก่อนลงทุนจ้างไลฟ์สด เข้าใจเบื้องหลังอัลกอริธึมทำไม “เจนนี่” ถึงไปได้สุดในเกม TikTok Shop

Latest


ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ชื่อของ เจนนี่ รัชนก สุวรรณเกตุ หรือ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” กลับมาทะยานขึ้นบนหน้าฟีดของคนไทยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ในฐานะนักร้องหรือเจ้าของค่ายเพลง แต่ในฐานะ “แม่ค้าไลฟ์สด” บน TikTok จากจุดเริ่มต้นของดราม่าครอบครัวเรื่องหนี้สินของแม่ กลับกลายเป็นมหกรรมการขายที่มีผู้ชมแตะหลักครึ่งล้านในแต่ละรอบ และล่าสุดก็ทำสถิติสูงสุดกว่า 1.2 ล้านวิวในไลฟ์เดียว

เพียงไม่กี่นาทีหลังเริ่มไลฟ์ เจนนี่สร้างยอดขายทะลุหลักร้อยล้านบาท ผู้คนแห่เข้าไปกดดู ไลค์ แชร์ และพูดถึงปรากฏการณ์ขายของแบบ Real-time Entertainment ที่เจนนี่มอบความเรียล ตลก เร้าอารมณ์การซื้อแบบที่รู้ตัวอีก กดสินค้าลงตะกร้าไปไม่รู้เท่าไหร่…

“เทศกาลเจนนี่” พลังไลฟ์สดร้อยล้าน 

กระแสแรงต่อเนื่องจนเกิดสิ่งที่ชาวเน็ตเรียกว่า “เทศกาลเจนนี่” การต่อคิวเพื่อจ้างไลฟ์กว่าร้อยคิว เกิดการดีลสดกลางไลฟ์ แบรนด์ใหญ่ ดารา อินฟลูฯ ตัวท็อป ต่างยอมทุ่มค่าจ้างหลักแสนต่อเวลาเพียง 10 นาที โดยเชื่อว่า “แค่ได้เจนนี่ไลฟ์ให้ ยอดออเดอร์ก็จะพุ่งทันตา” ไม่นับการส่งต่อเทคนิคการขายของรูปแบบตามเจนนี่ที่ถูกยกย่องให้กลายเป็น ตัวแม่ที่เอาชนะอัลกอริธึม โดยมียอดออเดอร์หลักร้อยล้านเป็นเครื่องพิสูจน์ในเวลาไม่กี่วัน

ข้อมูลจาก TikTok Thailand เปิดเผยว่า การไลฟ์ของเจนนี่ช่วยหนุนยอดขายให้กว่า 270 ธุรกิจไทย ตั้งแต่ Kathy Cosmetics, BioActive+, Madame Fin, LYO, Cho Cosmetics, CHAME' Thailand, Whitelab Essentials, Sureeporn Cosmetics, Taokaenoi, บีลีฟ เนเชอรัล, Yerpall Thailand, RAD Cosmetics, KACHA BRAND, PROMTHONG, Manyrarebkk

“ปรากฏการณ์เจนนี่” จุดกระแสให้หลายวงการตั้งคำถาม ตั้งแต่โลกการตลาดที่กำลังถอดบทเรียนอย่างหนักว่ายอดออเดอร์กับยอดขายสัมพันธ์กันจริงหรือไม่? นี่คือพลังของอินฟลูเอนเซอร์จริงๆ หรือเป็นผลจากอัลกอริธึม TikTok ที่กำลังส่งสัญญาณบางอย่าง?

การจับออเดี้ยนมาชนกัน หรือ AI ช่วยดันกระแสได้ผลมากน้อยแค่ไหน? ไม่นับการตั้งคำถามถึงค่าจ้างไลฟ์ที่เจนนี่รื้อไพ่เรทค่าตัวอินฟลูเอนเซอร์แบบเดิมๆ พฤติกรรมซื้อเล่นตามกระแสที่ข้ามเรื่องคุณภาพของสินค้า ไปจนถึงศักยภาพของ KOL/Influencer ต่อระบบเศรษฐกิจ

บทความนี้ Thairath Money ชวนผู้อ่าน โดยเฉพาะเจ้าของแบรนด์ ผู้ประกอบการ รวมถึงครีเอเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์ ที่กำลังจะลงทุนใน “เกมไลฟ์สด” ซึ่งอาจดูเหมือนตลาดแห่งโอกาส แต่แท้จริงแล้วแฝงไปด้วย “สมการแห่งความเสี่ยง” ตั้งแต่ระบบของแพลตฟอร์มและกลยุทธ์การตลาดยุคใหม่ที่อาจกำลังหลอมรวมระหว่าง “กระแส” กับ “ความจริง” เข้าด้วยกัน อะไรคือสิ่งที่ต้องระวังบ้าง? 

ค่าจ้าง ความเสี่ยง และจุดคุ้มทุนที่แบรนด์ต้องรู้

แม้ปรากฏการณ์เจนนี่จะสร้างพลังบวกให้ตลาด Live Commerce แต่สำหรับเจ้าของแบรนด์ ควรมองให้ลึกกว่าตัวเลขบนจอและเสียงหัวเราะในไลฟ์ เพราะเบื้องหลังนั้นเต็มไปด้วยต้นทุนแฝงที่ต้องนำมาคิดอย่างรอบคอบ เพราะตอนนี้หลายแบรนด์อาจกำลังลังเลว่า จ้างอินฟลูฯ ไลฟ์สดแล้วจะคุ้มไหม เพราะบางครั้งยอดวิวแตะหลักแสน แต่ยอดขายจริงกลับไม่ถึงเป้า

อ้างอิงจากคำพูดของเจนนี่ที่พูด “เรทค่าจ้าง” ในรายการโหนกระแส เธอกล่าวว่า เธอเริ่มต้นโมเดลจ้างไลฟ์โดยคิดค่าบริการ 200,000 บาทต่อ 1 ชั่วโมง โดยหลังจากที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นก็ได้ปรับการคิดค่าบริการใหม่เป็นแบรนด์ละ “50,000 บาทต่อ 10 นาที โดยจำกัดโควต้าแค่ 1,000 ออเดอร์” หากขายเกินนั้นจะคิดเพิ่มอีก 50,000 บาททุกๆ 1,000 ออเดอร์ (ยังไม่รวม VAT 7%)

เช่น ถ้ายอดทะลุ 3,000 ออเดอร์ ค่าจ้างจะพุ่งไปราว 160,500 บาท หรือในบางกรณีของอั้ม พัชราภาที่ไปไลฟ์กับเจนนี่ ปิดยอดขายที่ 60 ล้านบาทรวมทั้งหมด 108,000 ออเดอร์ ซึ่งหมายความว่า ค่าจ้างไลฟ์ในครั้งนี้ต้องจ่ายถึง 5,778,000 บาทเลยทีเดียว

ทั้งนี้ตัวเลขออเดอร์ดังกล่าวไม่สะท้อนถึงรายได้ที่แท้จริง เพราะยังต้องหักลบกับค่าอื่นๆ และหากเจาะเชิงตัวเลขจะพบว่า จุดคุ้มทุนอยู่สูงกว่าที่คิด ตัวอย่างเช่น หากสินค้ามีกำไรขั้นต้น 30% และต้นทุนรวมหลังหักค่าขนส่ง ค่าขาย ค่าคืนสินค้า เท่ากับว่าแบรนด์นั้นต้องขายสินค้าเกิน 1,800 ชิ้นขึ้นไป ถึงจะ “ไม่ขาดทุน” จากค่าจ้างเจนนี่ ซึ่งนั่นแปลว่าหากยอดขายไม่ถึง 500 ออเดอร์ ก็มีโอกาสขาดทุนหลักหมื่นทันที

โดยเราลองลิสต์ค่าใช้จ่ายที่แบรนด์ต้องเจอก่อนตัดสินใจจ้าง ได้แก่ 

  • ค่าต้นทุนสินค้า (COGS) ต้นทุนต่อหน่วยตั้งแต่ผลิตจนถึงพร้อมขาย
  • ค่าจ้างอินฟลูเอนเซอร์ เช่น ค่าจ้างเจนนี่ตามเรทข้างต้น
  • ค่าคอมมิชชั่นส่วนแบ่งยอดขาย อยู่ที่ 10–30% ตามข้อตกลงกับเอเจนซี่หรืออินฟลูฯ
  • ค่า VAT 7% ที่แบรนด์ต้องจ่ายเพิ่มเติม
  • ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม (TikTok Shop) ปัจจุบันอยู่ที่ ประมาณ 15%
  • ค่า Fake Conversion ออเดอร์ที่ถูกกดสั่งแต่ไม่จ่ายเงินจริง อาจอยู่ที่ 20–30% ของยอดรวม
  • ค่าจัดส่ง + บรรจุภัณฑ์ ต้นทุนต่อหน่วยที่มักถูกมองข้าม

แม้หลายแบรนด์ยังมองว่าคุ้มค่าเพราะได้กระแสและคอนเทนต์ฟรีมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อเจนนี่เปิดพื้นที่ให้เจ้าของแบรนด์มาร่วมขายด้วยตัวเองเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ แต่หลายฝ่ายออกโรงเตือนว่า ต้องดู “ยอดชำระจริง (Paid Orders)” และ “ยอดส่งสำเร็จ (Delivered Orders)” เท่านั้น จึงจะสะท้อนกำไรจริง นอกจากนี้ยังมีข้อควรระวังเรื่อง “Fake Conversion Rate” การตีกลับหรือคืนสินค้าเมื่อยอดสั่งซื้อจำนวนมากถูกยกเลิกภายหลัง หรือสินค้าไม่ถูกชำระเงินจริง

ธนดล พิทยานุวัฒน์ กรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง IdeaLabs บริษัท MarTech สัญชาติไทย กล่าวว่า หลังจากนี้แบรนด์ต้องเปลี่ยนกลยุทธ์จากการ “จ้างเพื่อกระแส” มาเป็น “คำนวณเพื่อผลตอบแทน” ด้วยการคำนวณ จุดคุ้มทุน (Break-Even Point) อย่างเป็นระบบ เพื่อวางแผน ROI อย่างมีประสิทธิภาพ

“จุดคุ้มทุน = ค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ต้นทุนสินค้า + ค่าจ้าง + ค่าคอมมิชชัน + VAT + ค่า GP) ÷ กำไรต่อหน่วย สูตรนี้จะช่วยให้แบรนด์เห็นภาพชัดว่า ต้องกำหนดระดับราคาอย่างไร ต้องขายกี่ชิ้นถึงจะไม่ขาดทุน และสามารถวางแผน ROI ได้อย่างแม่นยำ เพราะเป็นการรวมทุกองค์ประกอบต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงทั้งด้านการตลาดและแพลตฟอร์ม”

ธนดล ยังระบุอีกว่า โมเดลการประเมินอินฟลูเอนเซอร์หลังจากนี้จะไม่วัดจากยอดผู้ติดตามอีกต่อไป แต่จะวัดจาก “ยอดขายต่อบาทที่ลงทุน” ผ่านตัวชี้วัดอย่าง Conversion Rate, ROI และ Data-Driven Value ที่ดูได้เรียลไทม์บนแพลตฟอร์ม


เข้าใจ Algorithm  TikTok Shop

นำไปสู่ประเด็นต่อมาที่ได้มีการหยิบยกเรื่อง “อัลกอริธึม” ของ TikTok Shop มาวิเคราะห์กันอย่างเข้มข้น เกิดข้อถกเถียงถึงความเป็นไปได้ถึง AI และระบบอัลกอริธึมของแพลตฟอร์มที่ถูกออกแบบมาให้จับคู่ระหว่าง ครีเอเตอร์-สินค้า-ผู้บริโภค ได้อย่างแม่นยำในระดับเรียลไทม์ ซึ่งระบบนี้เองช่วย “เพิ่มโอกาสขาย” ให้กับผู้ไลฟ์ เบื้องหลังที่ทำให้เจนนี่สร้างทั้งยอดวิวและยอดออเดอร์มหาศาลในแบบที่ไม่เคยมีใครทำได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ “กลยุทธ์การชนออเดี้ยน” ที่สร้างเสียงฮือฮา เมื่อครีเอเตอร์หรืออินฟลูฯ มาอยู่ในไลฟ์เดียวกัน ซึ่งทำให้ผู้ชมของทั้งสองฝั่งมารวมกันและพุ่งขึ้นเป็นเท่าตัว จากระบบที่จับหน้าจับเสียงครีเอเตอร์ และแนะนำคอนเทนต์นั้นๆ ให้กับผู้ชมของทั้งสองฝั่งพร้อมกัน

TikTok Thailand เปิดเผยกับ Thairath Money ว่า ปรากฏการณ์ Live สดของเจนนี่ รัชนก สุวรรณเกตุ ซึ่งมีผู้เข้าชมไลฟ์ในเวลาเดียวกันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 1.2 ล้านวิว ย้ำให้เห็นว่า แพลตฟอร์ม TikTok Shop สามารถส่งเสริมแบรนด์ไทยให้เกิดและเติบโตได้อย่างเห็นผล ผ่านระบบนิเวศแบบ "Full-Funnel" ที่เชื่อมโยงผู้บริโภคตั้งแต่การค้นพบสินค้าไปจนถึงการตัดสินใจซื้อได้อย่างราบรื่น ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงให้กับประเทศไทย

อย่างไรก็ตามทาง TikTok Thailand ไม่ได้ยืนยันโดยตรงถึงเทคนิคที่เจนนี่ให้สัมภาษณ์ถึงผลลัพธ์เรื่องการเพิ่มยอด Reach อย่างแน่ชัด แต่ได้แสดงความเห็นว่า ความสำเร็จของโมเดล "LIVE ติดตะกร้า" ได้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของ TikTok Shop ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยอย่างธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSMEs) เข้าถึงผู้ชมจำนวนมากผ่านความร่วมมือกับครีเอเตอร์คนดัง ทำให้สินค้าของพวกเขาสามารถเข้าถึงผู้คนทั่วประเทศได้ทันที ซึ่งปกติแล้วโอกาสเช่นนี้มักจะเกิดขึ้นกับแบรนด์ใหญ่ที่มีงบโฆษณาและการตลาดสูง

พร้อมอธิบายถึง ระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่ TikTok พัฒนาให้เชื่อมทุกฟังก์ชันไว้ในที่เดียว ตั้งแต่การสร้างการมองเห็น (Awareness) ไปจนถึงการตัดสินใจซื้อ (Conversion) โดยมีฟีเจอร์หลักที่อยู่เบื้องหลังอัลกอริธึมเหล่านี้ ได้แก่

  • TikTok Shop Creators ระบบคัดจับครีเอเตอร์ให้เหมาะกับสินค้าโดยอัตโนมัติ ด้วยข้อมูลพฤติกรรมของผู้ชม เช่น หากผู้ชมเคยสนใจสินค้าความงาม Algorithm จะจับคู่ไลฟ์ “เจนนี่” ที่ขายสกินแคร์ให้ปรากฏในฟีดทันที
  • TikTok Shop LIVE ระบบ “เรียลไทม์อัลกอริธึม” ที่เรียนรู้จาก Engagement ทันที หากมีคนคอมเมนต์หรือกดหัวใจเพิ่มขึ้น TikTok จะเร่งกระจายสัญญาณไลฟ์นั้นให้ผู้ชมใหม่เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ
  • GMV Max Ads ระบบโฆษณาแบบ Full-Funnel ที่ไม่เพียงยิงแอด แต่จะเรียนรู้และปรับงบโปรโมตอัตโนมัติตามการเติบโตของยอดขายจริง
  • Seller Center & Data Insight ระบบหลังบ้านที่แนะนำการตั้งราคา, วิเคราะห์สินค้าขายดี, และแจ้งแนวโน้มสินค้าที่ “AI มองว่าขายได้”

ทำไม “เจนนี่” ถึงไปได้สุดในเกมนี้

  • คาแรกเตอร์ที่อัลกอริธึมชอบ 

เจนนี่ใช้ความเรียลและการสร้างอารมณ์ร่วมก่อนขายของ เธอผสมผสานระหว่างความบันเทิงและการช้อป โดย TikTok เรียกสิ่งนี้ว่า Shoppertainment ซึ่งเป็นพฤติกรรมหลักของคนเล่น TikTok ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้ามาเพื่อซื้อของทันที แต่เข้ามาเพื่อดูอะไรที่สนุก ผลลัพธ์คือ ผู้ชมดูนานขึ้น ระบบมองว่าไลฟ์นี้ “มีคุณค่า” และจึงดันต่อให้มากขึ้นโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ TikTok ยังให้คะแนนกับ “กระแสทางสังคม” ทุกครั้งที่มีการพูดถึงเจนนี่บนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเชิงบวกหรือดราม่า ระบบจะขยายการมองเห็นคลิปของเธอขึ้นทันที

  • ความถี่และความต่อเนื่องของไลฟ์ 

TikTok ให้น้ำหนักกับครีเอเตอร์ที่มีคอนเทนต์ต่อเนื่อง เจนนี่ออกไลฟ์แทบทุกวัน แม้ยอดผู้ชมบางวันจะขึ้นลง แต่ความต่อเนื่องทำให้ระบบมองว่าเธอคือ “ครีเอเตอร์ที่ยัง Active” ทำให้ได้รับการแนะนำซ้ำในฟีดของผู้ใช้หลายรอบ ความต่อเนื่องนี้เองทำให้ระบบจดจำใบหน้า น้ำเสียง และพฤติกรรมผู้ชม โดยระบบจะส่งคลิปหรือไลฟ์ของคนๆ นั้นไปหากลุ่มผู้ชมเดิมซ้ำๆ เพื่อเพิ่มอัตราการกลับมาดู (Retention) และยังสามารถ Retarget คนที่เคยดู เพื่อยิงโฆษณาซ้ำได้อีกด้วย

  • เข้าใจระบบรางวัลของ AI

TikTok ไม่ได้ให้คะแนนจากจำนวนคนดูมากที่สุด แต่จาก “เวลาที่คนดูอยู่นานที่สุด” เจนนี่จึงเปิดไลฟ์ด้วยพลังและเซอร์ไพรส์ ดึงผู้ชมให้อยู่ต่อ ยิ่งอยู่นาน ระบบยิ่งดัน ยอดคนดูก็พุ่งต่อเนื่อง

  • เทคนิคคนดังร่วมไลฟ์ 

นอกจากนี้เมื่อเจนนี่เชิญแขก เพื่อน ดารา หรือ อินฟลูฯ มาร่วมไลฟ์ ระบบ TikTok จะนำผู้ชมจากทั้งสองฝั่งมารวมกันทันที ระบบจะวิเคราะห์ความซ้อนทับของกลุ่มผู้ชมเดิม (Overlap Audience) ดูการมีส่วนร่วมระหว่างสองฝั่งในช่วงเวลาสด (Watch time, Likes, Comments) แล้วค่อยขยายวงการแนะนำไปหาผู้ชมใหม่ที่น่าจะชอบทั้งสองคนพร้อมกัน ผลลัพธ์คือ ยอดผู้ชมพุ่งขึ้นแบบทวีคูณ กลายเป็น “การชนออเดี้ยน” ที่เพิ่มการมองเห็นและยอดขายแบบก้าวกระโดด

บทความนี้ต้องการชี้ให้เห็นถึง “ปรากฏการณ์เจนนี่” ในฐานะกรณีศึกษาสำคัญที่สะท้อนพลังใหม่ของ Live Commerce ไทยที่ต้องยอมรับว่าตอนนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในตลาดที่ TikTok Shop เติบโตเร็วที่สุดในโลก นำมาซึ่งโอกาสใหม่ของผู้ประกอบการ โมเดลนี้จะกลายเป็นเทรนด์ใหม่ในโลก Creator Economy ที่สร้างรายได้จากยอดขายจริง มากกว่าค่ารีวิวหรือค่านายหน้าแบบเดิม   

เพราะในระบบนิเวศของ TikTok Shop วันนี้ สิ่งที่ทรงพลังที่สุดไม่ใช่ชื่อเสียงของอินฟลูเอนเซอร์ แต่คือ “ข้อมูลเชิงพฤติกรรม” (Behavioral Data) ที่ระบบ AI เก็บได้ในทุกวินาทีของการไลฟ์ ไม่ว่าจะเป็น เวลาที่คนดูอยู่ต่อ ช่วงจังหวะที่ยอด Engagement พุ่งขึ้น เสียงหัวเราะ หรือแม้แต่คำพูดบางประโยคที่กระตุ้นยอดคลิกทั้งหมดนี้กลายเป็น “สัญญาณข้อมูล” ที่แพลตฟอร์มใช้เพื่อประเมินว่า ไลฟ์ไหนควรถูกดันต่อ ไลฟ์ไหนควรถูกลดการมองเห็น

และเจนนี่คือหนึ่งในครีเอเตอร์ที่ “อ่านระบบออก” และ “เล่นกับมันได้” จึงสามารถสร้างกระแสและยอดขายในเวลาเดียวกัน แต่มากไปกว่านั้นผู้เขียนต้องการสะท้อนให้เห็นการหลอมรวมระหว่าง “กระแส” กับ “ความจริง” บนแพลตฟอร์มช็อปปิ้งออนไลน์ที่ขับเคลื่อนด้วยอัลกอริธึมและข้อมูลที่สามารถสร้างกระแสสังคมที่ทำให้ผู้ชมและนักช็อปตัดสินใจซื้อของได้ในพริบตา ผู้ชมรู้สึกว่า “ต้องซื้อ” เพราะทุกคนซื้อ ทั้งที่ในความเป็นจริงยอดขายที่แท้จริงอาจไม่ได้สูงเท่าที่เห็นบนจอ

ดังนั้นสำหรับแบรนด์ นี่คือช่วงเวลาที่ต้อง กลับมาวัด “มูลค่าที่แท้จริง” ของการจ้างอินฟลูฯ ไลฟ์ให้ขายของแทน การเข้าใจระบบแพลตฟอร์มก่อนลงทุน คำนวณจุดคุ้มทุนด้วยข้อมูลจริง ไม่ใช่แค่ดูยอดวิวหรือกระแส  และเหนือสิ่งอื่นใด มาตรฐานของสินค้าและบริการ ยังคงเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคจดจำในระยะยาว เพราะ “กระแส” อาจสร้างยอดวิวได้ในชั่วคืน แต่ “คุณภาพ” ต่างหากที่สร้างความเชื่อมั่นและยอดขายที่ยั่งยืน


Author

พิมพ์ชญา ภมรพล

พิมพ์ชญา ภมรพล
from digital economies to the art of brand identity