
นายภูมิใจ ขำภโต สมาคมการค้าอุตสาหกรรมกัญชงไทย หรือ TIHTA กล่าวว่า ไทยมีศักยภาพสูงในการพัฒนาอุตสาหกรรมพืชเศรษฐกิจสุขภาพและวัสดุทดแทน ภายใต้กรอบกฎหมายชัดเจนและมาตรฐานสากล อาทิ Thai Herbal Pharmacopoeia, Premium Herbal Products และ GACP มูลค่าตลาดสมุนไพรปี 2567 อยู่ที่ 44,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7%
โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสมุนไพรเติบโต 9% มูลค่า 8,600 ล้านบาท สะท้อนการเติบโตของเศรษฐกิจสุขภาพไทยโดยตลาดวัสดุทดแทนจากพืชมีมูลค่ากว่า 47,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 15–20% ต่อปี จากนโยบาย BCG Economy สมาคมฯ จึงพัฒนาสายพันธุ์ TIHTA 01 เพื่อยกระดับมาตรฐานและความยั่งยืนทางอุตสาหกรรม
นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการบริหาร NEO กล่าวว่า AIHEF 2025 จัดต่อเนื่องปีที่ 4 เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมกัญชงไทยให้เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ สร้างระบบนิเวศธุรกิจครบวงจร ครอบคลุมภาคการปลูก การสกัด การแปรรูป และอุตสาหกรรมปลายน้ำ
เช่น Wellness, Building Materials, Functional Food ภายในงานพบโซนไฮไลต์ Dispensary Blueprint Showcase, Flower Wall จากฟาร์มมาตรฐานทั่วประเทศ และ Hemp Product Inspiring Showcase รวมถึงการเปิดตัวโปรไฟล์ใหม่ กระท่อม (Kratom) สู่ตลาด Wellness ระดับโลก พร้อมบริการออกใบ ภ.ท.33 ฟรี
นายสมศักดิ์ กรีชัย รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขผลักดันให้กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจสุขภาพ โดยมีฟาร์มที่ผ่านมาตรฐานแล้วกว่า 123 แห่ง ภายในงานยังมีบริการนวดแผนไทยด้วยน้ำมันกัญชา และอบรมมาตรฐาน Dispensary และ Budtender
นายทรงเมท สังข์น้อย ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยพืชกัญชา กัญชง และกระท่อม กรมวิชาการเกษตร ยืนยันว่า กรมฯ พัฒนาสายพันธุ์ไทยให้ได้มาตรฐาน GAP/GACP เพื่อขับเคลื่อนสู่ Green & BCG Economy งานจัดวันที่ 5–7 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00–18.00 น. ที่ฮอลล์ 2 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ร่วมลงนาม : สมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมเซอร์เวย์ประเทศไทย จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) เรื่องความร่วมมือเพื่อกำหนดรูปแบบมาตรฐานการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่สำรวจภัยของบริษัทสำรวจภัย เพื่อร่วมกันยกระดับคุณภาพและศักยภาพของเจ้าหน้าที่สำรวจภัยในประเทศไทย ให้สอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพ และตอบสนองต่อความต้องการของระบบประกันภัยรถยนต์ในปัจจุบันอย่าง มีประสิทธิภาพ
โดยได้รับเกียรติจาก ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย และนายชำนาญ ชาติพจน์ นายกสมาคมเซอร์เวย์ประเทศไทย ร่วมลงนามในฐานะผู้แทนของทั้งสองสมาคม โดยมีนายเสรี กวินรัชตโรจน์ ประธานคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยไทย และนายจำนงค์ สิงหา ประธานชมรมผู้ประกอบวิชาชีพตรวจสอบความเสียหาย ร่วมลงนามเป็นสักขีพยาน
เพิ่มทางเลือกใหม่ : นายสุมิตร เตชะสุขสันติ์ ประธานบริหาร บริษัท แอมเพ็ค เอซเธติค จำกัด กล่าวว่า เราได้นำเข้าโปรแกรม XTHERMA มาเปิดตัวครั้งแรกที่ประเทศไทยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการปัจจุบันของผู้บริโภคที่มองหานวัตกรรมที่มีส่วนช่วยให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ ซึ่งในตลาดประเทศไทยเครื่องยกกระชับระดับ Gold Standard อาจมีราคาสูงหรือบางเครื่องก็มีประสิทธิภาพไม่ตอบโจทย์ต่อความต้องการ
โดยโปรแกรม XTHERMA จาก Tentech ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ด้านความงามระดับโลก จึงเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการทำหัตถการยกกระชับ ด้วยราคาที่คุ้มค่ากว่าราว 20-30% แต่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับเครื่องระดับ Gold Standard โดยได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา หรือ FDA จากสหรัฐอเมริกา เกาหลี และไทย
ทั้งนี้ แอมแพ็ค เน้นเจาะกลุ่มไปที่กลุ่มคนวัยทำงาน จนถึงกลุ่ม Successful Business Person ที่มีกำลังซื้อ และกำลังมองหานวัตกรรมที่สร้างความแตกต่างและคุ้มค่า มีความกังวลเรื่องผิวหน้าและผิวตัวที่หย่อนคล้อย อยากดูดีขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้น โดยจะทำการตลาดผ่านแผนการใช้อินฟลูเอนเซอร์ หรือ KOLs
พร้อมกับกิจกรรมร่วมกับคลินิกพาร์ทเนอร์ โดยวางจุดยืนเป็น Smart Choice’ ปลอดภัย คุ้มค่า แต่มีนวัตกรรมใกล้เคียงกับเครื่องระดับ Gold Standard และโปรแกรม XTHERMA ยังสร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรม Smart Technology Cooling มีระบบสารหล่อเย็น ช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกสบายผิวขณะทำหัตถการ ปรับได้ 7 ระดับ ให้ผลลัพธ์นาน 1 ปี
นอกจากนี้แอมเพ็ค ยังมีแผนขยายการสื่อสารไปยังกลุ่ม B2C เพิ่มขึ้น หลังจาก 22 ปีที่ผ่านมาเน้นเจาะกลุ่ม B2B เป็นหลัก เนื่องจากเล็งเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคที่สามารถเข้าถึงนวัตกรรมความงามได้ง่ายขึ้น มีข้อมูลมากขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภคมีความเข้าใจเกี่ยวกับสินค้าหัตถการอย่างถูกต้องนอกเหนือจากการอ่านรีวิวหลังจากนี้จึงมีแผนทำกิจกรรมส่งเสริมการสร้าง Brand Image ของแอมแพ็คในกลุ่ม B2C เพิ่มเติมด้วย
ทั้งนี้แอมเพ็ค ตั้งเป้าการเติบโตในส่วนของเครื่องยกกระชับผิวโปรแกรม XTHERMA ในปีนี้ไว้ที่ 70 ล้านบาท ส่วนปีหน้าตั้งเป้าเติบโตที่ 250 ล้านบาท ภาพรวมยอดขายทั้งเครือต้องการเติบโตอีก 40% ในทุกๆปี โดย สองปีที่ผ่านมาจนถึงสิ้นปีนี้ที่ บริษัทจะมียอดขายรวมตลอด มากกว่า 1,000 ล้านบาท
เทรนด์ความงามมีการอัปเดตอยู่ตลอด เราจึงต้องอัปเดตตามเทรนด์อยู่เสมอ เพื่อหาสินค้ามาตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค ด้วยคู่แข่งในตลาดที่เยอะขึ้น รวมถึงฝั่งผู้บริโภคเองก็หาความรู้มากขึ้น การให้ข้อมูลจากฝั่งแบรนด์ก็ถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะแบรนด์ที่สื่อสารกับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องจะมีชัยไปกว่าครึ่ง ปัจจุบันหลายๆ แบรนด์ที่เป็นผู้นำเข้าต่างก็เริ่มลงมาให้ข้อมูลเอง เพื่อสื่อสารให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงผลิตภัณฑ์ได้ดีกว่าเดิม